19thApril

19thApril

19thApril

 

August 20,2021

แพทย์ มข.เผยผลวิจัยฉีด SV 2 เข็ม ควรบูสต์ด้วยไวรัสเวกเตอร์ หรือ mRNA

แพทย์ ม.ขอนแก่น แถลงผลงานวิจัย “การตรวจภูมิคุ้มกันของผู้ที่รับวัคซีน Sinovac” ระบุ ฉีดซิโนแวค ๒ เข็ม ควรได้รับการ กระตุ้นทีเซลล์ด้วยวัคซีนชนิดอื่นที่ไม่ใช่รูปแบบเชื้อตาย เพื่อประสิทธิภาพป้องกันโรคเพิ่มมากขึ้น คือวัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ หรือ mRNA

เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) แถลงข่าวผลวิจัยการตรวจภูมิคุ้มกันของผู้ที่รับวัคซีน Sinovac โดยนักวิจัยคณะแพทยศาสตร์ โดยมี ศ.ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย เป็นประธานในพิธี สำหรับทีมนักวิจัยนำโดย ผศ.ดร.สุปราณี พันธุ์ธนวิบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ หัวหน้าโครงการวิจัย ผศ.นพ.อธิบดี มีสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และอาจารย์ณัฐสมล ธนกุลรังสฤษดิ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องสารสิน อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ในประเทศไทยส่วนมากมีการนำเข้าและใช้วัคซีนชนิดเชื้อตาย เพื่อฉีดให้บุคลากรด่านหน้า ก่อนที่จะใช้วัคซีนชนิดไวรัสเวคเตอร์และชนิด mRNA ในเวลาต่อมา

ศ.ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะสถาบันวิชาการชั้นสูงและเก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีนโยบายที่จะช่วยสังคมในทุกๆ ด้าน โดยในสถานการณ์ COVID-19 ที่มีการระบาดอย่างรุนแรงในประเทศไทย มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญถึงการศึกษาวิจัยเรื่องวัคซีนโควิด-๑๙ เพราะวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะหยุดยั้งการระบาดได้และทำให้สังคมไทยกลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว มหาวิทยาลัยจึงให้การสนับสนุนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้แพทย์ และนักวิจัย มีโอกาสช่วยสังคม และทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำการศึกษาภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac (SV) ๒ เข็ม ทั้งภูมิคุ้มกันด้านแอนติบอดี และด้านเซลล์ โดยจะเป็นครั้งแรกที่มีการรายงานภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ของผู้ที่ได้รับวัคซีนนี้ เพื่อให้เป็นแนวทางในการป้องกันโรคต่อไป

ผศ.ดร.สุปราณี พันธุ์ธนวิบูลย์ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า ไวรัสเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ต้องเพิ่มจำนวนภายในเซลล์ ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ใช้ในการป้องกันกำจัดเชื้อไวรัสนั้น ประกอบด้วย ภูมิคุ้มกันด้านแอนติบอดี และภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ (ทีเซลล์) ในการทำงาน แอนติบอดีที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ และเมื่อใดก็ตามที่ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ ภูมิคุ้มกันด้านเซลล์จะรับหน้าที่หลักในการกำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อเพื่อไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนและก่อโรค ดังนั้น การป้องกันกำจัดเชื้อไวรัสที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยภูมิคุ้มกันทั้ง ๒ ชนิด

“ผลวิจัยการตรวจภูมิคุ้มกันของผู้ที่รับวัคซีน Sinovac เป็นการศึกษาแอนติบอดี และทีเซลล์ของผู้ที่รับวัคซีน Sinovac ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักศึกษาแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๓๕ คน โดยเก็บข้อมูลจากการ เจาะเลือด ทั้งหมด ๓ ครั้ง  ครั้งที่ ๑ ก่อนฉีดวัคซีน ครั้งที่ ๒ หลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรก ๑ ครั้งที่ ๓ หลังจากฉีดวัคซีนเข็มสอง ๑ เดือน อาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนสามารถสร้างแอนติบอดีที่จำเพาะต่อโปรตีนของเชื้อได้ ร้อยละ ๘๙ หลังจากรับวัคซีนเข็มแรก และหลังจากรับวัคซีนครบ ๒ เข็ม สามารถตรวจวัดระดับปริมาณของแอนติบอดีที่จำเพาะได้ครบทุกคน (๑๐๐%) ในปริมาณที่แตกต่างกันโดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1292 AU/ml ส่วนผลการศึกษาทีเซลล์พบว่ามีปริมาณที่ถูกกระตุ้นของ CD4+ T cell ในอาสาสมัครหลังรับวัคซีนสูงขึ้นเล็กน้อยหลังฉีดในขณะที่ CD8+ T cell ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับก่อนฉีดวัคซีน”

ผศ.ดร.สุปราณี กล่าวต่อไปว่า จากผลการศึกษาเบื้องต้นสรุปได้ว่า การรับวัคซีน Sinovac ในอาสาสมัครกลุ่มที่ทำการทดลอง สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิแอนติบอดีได้ดี แต่การกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทีเซลล์มีน้อย จึงแนะนำให้ผู้ที่รับซิโนแวคครบ ๒ เข็ม ควรได้รับการกระตุ้นทีเซลล์ด้วยวัคซีนชนิดอื่นที่ไม่ใช่รูปแบบเชื้อตาย เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันโรคที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่มีการเปลี่ยนรูปแบบวัคซีนของอาสาสมัครกลุ่มเดิม จะมีการศึกษาภูมิแอนติบอดี และภูมิเซลล์ อีกครั้ง

ผศ.นพ.อธิบดี มีสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า จากผลงานวิจัยจากทีมวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ ทำให้เราได้ทราบว่าการฉีดวัคซีนซิโนแวค ๒ เข็มสามารถกระตุ้นให้สร้างภูมิชนิดแอนติบอดีที่จำเพาะได้ โดยในเข็มแรกจะยังมีระดับแอนติบอดีที่ต่ำ และจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากเข็มที่ ๒ แต่กระตุ้นภูมิด้านเซลล์นั้นยังกระตุ้นได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีเชื้อตาย

“ฉะนั้นผู้ที่รับวัคซีนซิโนแวค ๒ เข็ม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้วัคซีนบูสต์เข็มที่ ๓ โดยเฉพาะในภาวะที่มีการกลายพันธุ์ของเชื้อ เช่น สายพันธุ์เดลต้า เพราะระดับแอนติบอดีที่สร้างขึ้นนั้น อาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้มีการฉีดวัคซีนไขว้ คือเข็มแรกเป็นเชื้อตาย หรือ Sinovac (SV) และเข็มที่สองเป็น Viral Vector Vaccine หรือ AstraZeneca (AZ) เนื่องจากมีการศึกษาในต่างประเทศพบว่า AZ สามารถกระตุ้น T cells ได้ดี เพื่อประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิได้ทั้งสองด้าน การฉีดเข็ม ๓ ให้กับผู้ที่ได้รับ SV ๒ เข็มจึงควรที่จะเป็นวัคซีนที่มีความสามารถในการกระตุ้นภูมิด้านเซลล์ได้ดี ได้แก่ วัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ คือ AZ หรือชนิด mRNA” ผศ.นพ.อธิบดี  กล่าวปิดท้าย


นสพ.โคราชคนอีสาน  ปีที่ ๔๗ ฉบับที่ ๒๖๙๒ วันพุธที่ ๑๘ - วันอังคารที่ ๒๔ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔


1013 1387