26thApril

26thApril

26thApril

 

October 29,2014

‘เอสเอ็มอีแบงก์’พลิกฟื้น ๙ เดือนกำไรสุทธิ ๑๕๗ ล.

   เอสเอ็มอีแบงก์โชว์ผลงานมีกำไรไตรมาสสาม ๑๕๗ ล้าน จากครึ่งปีแรกขาดทุน ๔๑ ล้าน หลังได้คณะกรรมการชุดใหม่มาบริหารจัดการ ส่งผลให้ผลงาน ๙ เดือนกำไรสุทธิ ๑๑๖ ล้านบาท เร่งปรับกระบวนการอำนวยสินเชื่อรายย่อยให้รวดเร็ว สร้างมาตรฐานการให้บริการใหม่ พร้อมเดินหน้าแก้หนี้เสียต่อเนื่อง 

 นางสาลินี วังตาล

 

    นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานนับตั้งแต่คณะกรรมการธนาคารชุดใหม่ได้เข้ามาบริหารธนาคารเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ได้นำเสนอแผนฟื้นฟูเอสเอ็มอีแบงก์ โดยเน้น ๔ เรื่องหลัก คือ ๑. การขยายสินเชื่อให้เป็นไปตามภารกิจ ในวงเงินต่ำกว่า ๑๕ ล้านบาท โดยมีการปรับปรุงกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ อำนวยความสะดวกให้ผู้มาขอสินเชื่อทั้งด้านการประเมินราคาหลักประกัน รวมถึงการจัดทำเอกสารต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้การอนุมัติสินเชื่อทำได้รวดเร็ว พร้อมบริการให้คำปรึกษาแนะนำต่างๆ ภายหลังจากอนุมัติสินเชื่อแล้ว โดยได้ดำเนินการไปแล้วมากพอสมควร แต่ไม่ทิ้งเรื่องการดูแลความเสี่ยง 
    ๒. การบริหารจัดการลูกหนี้ NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับการเร่งขยายสินเชื่อตามพันธกิจ ในขณะนี้ธนาคารได้ตั้งสำรองครบถ้วนแล้ว รวมทั้งธนาคารยังมีสำรองส่วนเกินอีก ๑,๓๖๙ ล้านบาท NPL เหล่านี้จึงมิได้ก่อภาระทางการเงินเพิ่มให้แก่ธนาคาร เพียงแต่ทำให้ธนาคารเสียโอกาสในเรื่องดอกเบี้ยรับ และไม่สามารถเปลี่ยนลูกหนี้กลับมาเป็นเงินสดเพื่อใช้ขยายสินเชื่อต่อได้อีก รวมถึงธนาคารสิ้นเปลืองในการจัดหาพนักงานมาดูแลลูกหนี้ NPL ที่ยังค้างอยู่ ๓. การบริหารจัดการสภาพคล่อง ธนาคารมีแนวทางเพิ่มระยะเวลาของเงินฝากให้ยาวขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศและความเชื่อมั่นที่สาธารณชนมีต่อธนาคาร และ ๔. การบริหารจัดการบุคลากร ธนาคารพยายามจัดสรรพนักงานจากด้านสนับสนุนให้มาอยู่ด้านหารายได้ หรือด้านอื่นๆ ที่จำเป็นเชื่อมโยงกับงานด้านสินเชื่อของธนาคาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ลูกค้า


    นางสาลินี เผยต่อไปว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๕๗ จากความร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานธนาคาร ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธนาคารดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้ ด้าน NPL ณ สิ้นกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๓๓,๘๕๐ ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ ๓๙ ของสินเชื่อรวม เปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ จำนวน ๓๔,๙๐๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๐ ของสินเชื่อรวม หรือลดลง ๑,๐๕๗ ล้านบาท ทั้งนี้ สรุปในงวด ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๕๗ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนตั้งสำรอง ๑,๐๙๙ ล้านบาท และเมื่อหักสำรองส่งผลให้ธนาคารมีกำไรสุทธิ ๑๑๖ ล้านบาท โดยในไตรมาส ๓ (ก.ค.-ก.ย. ๕๗) มีกำไรสุทธิ ๑๕๗ ล้านบาท จากในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. ๕๗) ขาดทุน ๔๑ ล้านบาท ซึ่งกำไรดังกล่าวเนื่องจากภาระการตั้งสำรองลดลง เพราะธนาคารสามารถป้องกันลูกหนี้ที่มีสถานะจัดชั้นปกติไม่ให้ตกชั้นเป็น NPL และสามารถแก้ไขหนี้ในส่วนที่เป็น NPL ให้กลับมาเป็นลูกหนี้ปกติ จากการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ของธนาคารเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๗.๐๗ ณ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ เป็นร้อยละ ๗.๕๔ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา 
    นางสาลินี กล่าวอีกว่า สำหรับสินเชื่อคงค้าง ณ เดือนกันยายน ๒๕๕๗ เท่ากับ ๘๖,๐๙๙ ล้านบาท ลดลง ๒,๐๐๐ ล้านบาท จากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ที่มีจำนวน ๘๘,๐๙๕ ล้านบาท สาเหตุเกิดจากการรับชำระหนี้และลูกหนี้ของธนาคารที่มีวงเงินขนาดใหญ่และแข็งแรงแล้วได้ปิดบัญชี และ Refinance ไปสถาบันการเงินอื่น ขณะเดียวกันแม้ธนาคารจะได้ลูกหนี้ในการปล่อยสินเชื่อใหม่มาจำนวนหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถทดแทนวงเงินดังกล่าว อีกทั้งธนาคารอยู่ระหว่างการปรับกระบวนการอำนวยสินเชื่อใหม่โดยเน้นการปล่อยสินเชื่อรายย่อยวงเงินไม่เกิน ๑๕ ล้านบาท ดังนั้น จำนวนรายลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้น แต่ยอดวงเงินสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นได้ไม่มาก อย่างไรก็ตาม จากการปรับนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เน้นภารกิจหลักการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ทำให้ในไตรมาส ๓ อัตราส่วนยอดเบิกจ่ายสินเชื่อวงเงินไม่เกิน ๑๕ ล้านบาท ต่อวงเงินเกิน ๑๕ ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ ๖๖ ต่อร้อยละ ๓๔ เทียบกับครึ่งปีแรก มีสัดส่วนร้อยละ ๕๓ ต่อร้อยละ ๔๗ 


    “นอกจากนี้ คณะกรรมการชุดใหม่เน้นเรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาล โดยมีกระบวนการสอบทานและการควบคุม โดยเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการสินเชื่อ ให้คานอำนาจระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านการตลาดและเจ้าหน้าที่ด้านวิเคราะห์สินเชื่อ นอกจากนั้น การเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยไม่เกิน ๑๕ ล้านบาทตามภารกิจของธนาคาร เป็นการจำกัดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากการปล่อยกู้รายใหญ่ และเชื่อว่าเมื่อนำระบบนี้มาใช้แล้ว จะช่วยให้ธนาคารมีภูมิคุ้มกันแม้สภาวะแวดล้อมภายนอกจะเปลี่ยนไปในอนาคต สำหรับการดำเนินคดีเรื่องทุจริตในอดีตนั้น ธนาคารจะเร่งรัดการสอบสวนต่อไป” ประธานกรรมการ เอสเอ็มอีแบงก์ กล่าวในท้ายสุด


688 1342