26thApril

26thApril

26thApril

 

November 21,2014

ศาลฎีกาจำคุกรองปลัด ร้องรื้อคดีพิจารณาใหม่ ขอคืนความบริสุทธิ์

   เดินทางไกลขอความเป็นธรรม หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุกรองปลัดอบต.กุดฉิม พร้อมน้องชาย คดีลักทรัพย์ภายในอู่ริมถนนมิตรภาพ มูลค่าความเสียหายแค่ ๑๓,๐๕๐ บาท เรียกร้องกระบวนการยุติธรรมรื้อฟื้นคดีทางอาญาใหม่ เร่งตามจับผู้กระทำผิดตัวจริง หวั่น! หมดอนาคตกลับเข้ารับราชการ แถมครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง วอน ‘โคราชคนอีสาน’ อดีตปธ.สภาทนายความฯ ให้ความเห็นเป็นช่องทางสุดท้ายที่ริบหรี่

    ตามที่ศาลจังหวัดสีคิ้วอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๗ โดยให้จำคุกนายจิระเดช อภัยโส รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลกุดฉิม จำเลยที่ ๑ และนายสุเมธ อภัยโส พนักงานฝ่ายผลิตโรงงานแห่งหนึ่ง จำเลยที่ ๒ เป็นเวลาคนละ ๑ ปี ๖ เดือน ในคดีลักทรัพย์ภายในอู่นเรศยนต์ ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ตามคดีหมายเลขดำที่ ๑๔๗๘/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขที่ ๑๖๕๑/๒๕๕๒ โดยพนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นพี่ชายและน้องชายที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครพนม พร้อมทั้งให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือชดใช้ทรัพย์ รวมมูลค่า ๑๓,๐๕๐ บาทแก่ผู้เสียหาย คือ นายนเรศ ธรรมสอน เจ้าของอู่นเรศยนต์ ขณะนี้จำเลยทั้งสองต้องรับโทษจำคุกที่เรือนจำอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา  
 

ร้องรื้อฟื้นคดีขอความเป็นธรรม
    ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ นางธัญพร อภัยโส รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลพุ่มแก อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ภริยาจำเลยที่ ๑ และนางนัดยะนา คัดทะจันทร์ ภริยาจำเลยที่ ๒ พร้อมด้วยนายวิทยา แสนทวีสุข นายกองค์การบริหารส่วนตำบลกุดฉิม, นางวรรณิตา ยอดมงคล ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลกุดฉิม และนายพงษ์เสกสรร แสนสุข ทนายความ เดินทางจากจังหวัดนครพนมมาร้องเรียนต่อ ‘โคราชคนอีสาน’ พร้อมนำสำเนาคำพิพากษาของศาล และเอกสารหลักฐานมาแสดง เพื่อขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเตรียมเข้าสู่กระบวนการรื้อฟื้นคดี ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธการ 
กระทำความผิดและต่อสู้คดีในชั้นศาล กระทั่งศาลจังหวัดสีคิ้วพิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ (นครราชสีมา) และศาลฎีกา พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ให้จำคุกคนละ ๑ ปี ๖ เดือน 

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามอุทธรณ์
    โดยคดีลักทรัพย์นี้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๑ ที่อู่นเรศยนต์ ถนนมิตรภาพ ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา อันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนายนเรศ ธรรมสอน ผู้เสียหาย โดยโจทก์มีนายนเรศ ธรรมสอน ผู้เสียหาย, นางนฤมล สิริเมธาวี และนางสาวสุภัค สุริยะ เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. ขณะที่ผู้เสียหายขับรถยนต์กระบะพาภริยาและญาติ กลับจากเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โดยมีนางนฤมลและนางสาวสุภัคนั่งรถมาด้วย เมื่อมาถึงถนนมิตรภาพ ฝั่งตรงข้ามอู่นเรศยนต์ของผู้เสียหาย พบรถยนต์กระบะคันหนึ่งจอดอยู่บริเวณหน้าอู่ซ่อมรถนเรศยนต์ ผู้เสียหายจึงกลับรถมาจอดหน้ารถยนต์กระบะคันดังกล่าว ซึ่งเป็นรถกระบะยี่ห้อนิสสัน รุ่นบิ๊กเอ็ม สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ๔ พ - ๓๕๘๓ กรุงเทพมหานคร เห็นจำเลยที่ ๑ เดินออกมาจากอู่และจำเลยที่ ๒ ยืนอยู่บริเวณข้างกระบะท้ายรถ โดยมีอุปกรณ์เครื่องมือช่าง จำพวกถังลม  วาล์วลม วาล์วแก๊ส หัวตัดแก๊ส สายลม-สายแก๊ส แม่แรงยกรถและแบตเตอรี่ ถูกยกขึ้นมาไว้บนกระบะท้ายรถคันดังกล่าว ผู้เสียหายถามจำเลยที่ ๒ ว่า ของๆ ผมคุณจะเอาไปไหน จำเลยที่ ๒ ย้อนถามว่า ของๆ คุณเหรอ ผู้เสียหายเดินไปที่ประตูรถด้านคนขับ แล้วเปิดประตูออกเพื่อจะดึงกุญแจรถออกมา ไม่ให้จำเลยทั้งสองนำรถออกไปจากหน้าอู่ แต่จำเลยที่ ๒ ตามมากระชากคอเสื้อด้านหลังของผู้เสียหาย แล้วขึ้นนั่งที่เบาะคนขับสตาร์ทเครื่องยนต์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ขึ้นนั่งที่เบาะข้างคนขับ 
    หลังจากนั้นขับรถออกไปโดยกลับรถที่หน้าอู่ ขับย้อนศรตัดข้ามถนนมิตรภาพเข้าทางคู่ขนานฝั่งเข้ากรุงเทพฯ ผู้เสียหายจึงรีบขับรถกระบะตามไป โดยมีภริยา ญาติๆ กับนางนฤมลและนางสาวสุภัคนั่งคู่บนรถด้วย ระหว่างนั้นได้ตะโกนบอกให้ญาติช่วยจำหมายเลขทะเบียนรถคันที่จำเลยที่ ๒ ขับ และโทรศัพท์แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ ๒ กลับรถจะย้อนขึ้นถนนมิตรภาพไปทางจังหวัดนครราชสีมา ผู้เสียหายขับรถแซงและขวางรถของจำเลยที่ ๒ ไว้ กระทั่งจำเลยที่ ๒ ลดกระจกด้านคนขับลงและโบกมือออกมานอกรถบอกว่า ยอมแล้วๆ และจอดรถ ก่อนที่จำเลยที่ ๑ ลงมายกถังลม ซึ่งวางอยู่ที่กระบะลงมาวางไว้กลางถนนด้านหลังรถคันดังกล่าวแล้วขึ้นรถ แต่ขณะนั้นจำเลยที่ ๒ ทำท่าจะขับรถหนีต่อไปอีก ผู้เสียหายจึงขับรถถอยหลังตั้งใจจะชนหม้อน้ำของรถคันที่จำเลยที่ ๒ ขับ แต่จำเลยที่ ๒ เบี่ยงรถจะแซงรถของผู้เสียหาย รถของผู้เสียหายจึงถอยไปชนบริเวณประตูด้านคนขับ หลังจากนั้นจำเลยที่ ๒ กลับรถย้อนศรไปตามเส้นทางที่ขับมาแต่แรกแล้วหนีไปทางอำเภอด่านขุนทด มุ่งหน้าจังหวัดชัยภูมิ 
    ต่อมานายนเรศฯ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.ท.ประสาน ดีกระโทก พนักงานสอบสวนเวร สภ.สีคิ้ว พร้อมมอบถังลมให้แก่พนักงานสอบสวนไว้เป็นของกลาง จากการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันดังกล่าว ทราบว่า นางสาวอิสริยา อภัยโส ซึ่งเป็นน้องสาวของจำเลยทั้งสอง เป็นผู้ครอบครอง และในทะเบียนราษฎร์ปรากฏว่า นางสาวอิสริยาฯ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ ๑๑ หมู่ที่ ๒ ตำบลหนองย่างชิ้น อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม และมีบุคคลในทะเบียนบ้านที่เกี่ยวข้องอยู่อีก ๓ คน คือ นางบุญรอด อภัยโส มารดา และพี่ชายของนางสาวอิสริยาอีก ๒ คน คือ นายจิระเดช อภัยโส จำเลยที่ ๑ และนายสุเมธ อภัยโส จำเลยที่ ๒ จากนั้น พ.ต.ท.สุรัตน์ หงส์ชู หัวหน้าชุดสืบสวน ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เรณูนคร ขอตำรวจสายตรวจไปที่บ้านเลขที่ ๗๑ หมู่ที่ ๒ ตำบลหนองย่างชิ้น อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เพื่อตรวจสอบว่ารถกระบะคันที่เคลื่อนย้ายทรัพย์สินจากอู่นเรศยนต์หลบหนีไปนั้นยังอยู่ในความครอบครองของนางสาวอิสริยาฯ หรือไม่ 


    ร.ต.ท.ประสาน ดีกระโทก พนักงานสอบสวน เป็นพยานเบิกความว่า หลังจากได้รับแจ้งเหตุ พบผู้เสียหายจึงสอบปากคำไว้รวมทั้งพยานอีก ๒ ปาก หลังจากนั้นได้ตรวจสอบรถคันที่คนร้ายนำมาก่อเหตุ พบว่า มีชื่อนางสาวอิสริยา อภัยโส เป็นผู้ครอบครอง และมีบุคคลในทะเบียนบ้านที่เกี่ยวข้องอีก ๓ คน คือ มารดา และพี่ชาย ๒ คนคือ จำเลยทั้งสอง จึงสั่งพิมพ์ภาพถ่ายของจำเลยทั้งสองจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ วันรุ่งขึ้นให้ผู้เสียหาย นางสาวสุภัคและนางนฤมลมาดูภาพถ่าย บุคคลทั้งสามดูแล้วยืนยันว่าเป็นคนร้าย และได้แจ้งให้นางสาวอิสริยานำรถที่ผู้เสียหายอ้างว่าเป็นรถคนร้ายมาตรวจสอบและยึดเป็นของกลาง และแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจ กองวิทยาการเขต ๒๑ มาตรวจพิสูจน์ร่องรอยเฉี่ยวชน ผลการตรวจพบว่า รอยเฉี่ยวชนของรถของกลางเข้ากันได้กับความเสียหายของรถผู้เสียหาย ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมายเลข จ. ๑๑ เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกับมีเหตุผล ไม่ปรากฏข้อพิรุธ บริเวณหน้าอู่ซ่อมรถยนต์ที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าซึ่งเป็นหลอด ฟลูออเรสเซนต์ ขนาดยาว ๑ หลอด ในอู่รถยนต์อีก ๒ หลอด และยังมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าสาธารณะที่ถนนมิตรภาพส่องสว่าง สามารถมองเห็นใบหน้าของจำเลยทั้งสอง ซึ่งไม่มีอะไรปกปิดไว้อย่างชัดเจน และขณะเกิดเหตุพยานโจทก์ทั้งสามก็มีโอกาสเห็นหน้าจำเลยทั้งสองนาน ๒-๓ นาที โดยเฉพาะผู้เสียหายยังได้พูดจากับจำเลยที่ ๒ อย่างใกล้ชิดในลักษณะแทบจะเผชิญหน้ากัน โดยจำเลยที่ ๒ เข้ามากระชากคอเสื้อผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายจึงมีโอกาสที่จะจดจำลักษณะรูปร่างและใบหน้าของจำเลยที่ ๒ ได้ และได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนทันทีหลังเกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ ๑ ก็เห็นตั้งแต่เดินออกมาจากอู่ที่รถห่างเพียง ๓-๔ วา และเห็นอีกครั้งเมื่อจำเลยที่ ๑ เดินลงมายกถังลมลงจากรถ 
    และในวันรุ่งขึ้น เมื่อพนักงานสอบสวนนำภาพถ่ายของจำเลยทั้งสองจากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ให้ดู ผู้เสียหาย นางนฤมลและนางสาวสุภัคก็ยืนยันว่า จำเลยทั้งสองคือคนร้ายที่ลักทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสามปากเคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน ไม่มีเหตุน่าระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งสอง เชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความตามความเป็นจริงที่พบเห็นและจำจำเลยทั้งสองได้ นอกจากนี้จากการตรวจสอบรถยนต์ของกลางที่มีชื่อน้องสาวจำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครอง โดยเจ้าพนักงานตำรวจวิทยาการเขต ๒๑ ปรากฏว่า มีร่องรอยเปลี่ยนแปลงประตูและอุปกรณ์ประกอบอื่น เชื่อว่าน่าจะมีความเสียหายมาก่อน ส่วนรถยนต์ของผู้เสียหายมีร่องรอยชนกับตัวถังรถยนต์อื่นที่มุมหลังขวา สอดคล้องกับรถยนต์ของกลาง และเจ้าพนักงานผู้ตรวจให้ความเห็น เชื่อว่ารถยนต์ของกลางน่าจะถูกรถยนต์กระบะของผู้เสียหายถอยเข้าชนตรงประตูขวา ทำให้ประตูและกระจกมองหลังเสียหาย สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหาย นางนฤมลและนางสาวสุภัค 


    จำเลยทั้งสองนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองจัดงานศพของบิดา คือ นายเทิดศักดิ์ อภัยโส ที่จังหวัดนครพนม และมีเจ้าพนักงานตำรวจมาสอบถามที่บ้าน ซึ่งอยู่คนละจังหวัดกับที่เกิดเหตุ พยานจำเลยทั้งสองก็เบิกความแตกต่างขัดแย้งกันเป็นพิรุธ โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความว่า คืนเกิดเหตุมี ด.ต.สำราญ วิลาพันธ์, ส.ต.ท.อภิชาติ เทียมมาลา กับพวก ๓ คน มาตามหาจำเลยทั้งสอง และนางสาวอิสริยาที่บ้านในจังหวัดนครพนม และถามว่านางสาวอิสริยาเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ของกลางหรือไม่ จำเลยที่ ๑ จึงแสดงตัว และตามจำเลยที่ ๒ กับนางสาวอิสริยา ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่บ้านมาพบกับเจ้าพนักงานตำรวจ นางสาวอิสริยายอมรับว่ามีชื่อเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าวจริง แต่ขณะนั้นรถอยู่ที่กรุงเทพฯ ขัดกับคำเบิกความของ ด.ต.สำราญ และส.ต.ท.อภิชาติ พยานจำเลยที่ว่า เมื่อไปถึงบ้าน จำเลยที่ ๑ เดินออกมาเปิดประตูบ้านและเปิดไฟ มีจำเลยที่ ๒ เดินออกมาสมทบ จึงสอบถาม จำเลยที่ ๑ ตอบว่า ไม่มีรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ในบ้านและนางสาวอิสริยาก็ไม่มีชื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ ส่วนจำเลยที่ ๒ เบิกความว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจมาที่บ้าน จำเลยที่ ๒ นอนอยู่ที่ห้องโถงชั้นล่างไม่ได้ออกมาพบเจ้าพนักงานตำรวจและไม่ได้สอบถามอะไร ด.ต.สำราญ และส.ต.ท.อภิชาติ เบิกความว่า ได้รับแจ้งให้ไปตรวจสอบรถยนต์ของกลางที่บ้านเลขที่ ๗๑ หมู่ที่ ๒ และตามบันทึกศูนย์สื่อสาร สภ.เรณูนคร ก็ระบุบ้านเลขที่ที่ให้ไปตรวจสอบเป็นบ้านเลขที่ ๗๑ หมู่ที่ ๒ แต่ความเป็นจริงกลับปรากฏว่า จำเลยทั้งสองอยู่บ้านเลขที่ ๑๑ หมู่ที่ ๒ จึงทำให้สงสัยว่าไปตรวจสอบบ้านหลังใดแน่ และได้พบจำเลยทั้งสองจริงหรือไม่ ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าจัดงานศพบิดา โดยมีจำเลยที่ ๒ ได้บวชหน้าไฟ พร้อมมีภาพถ่ายและการ์ดกำหนดการจัดงานศพเป็นหลักฐาน ตามภาพถ่ายก็ไม่ปรากฏว่าถ่ายในวันที่เท่าไร จะเป็นวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๑ จริงหรือไม่ และในภาพมีทั้งจำเลยที่ ๒ โกนศีรษะและภาพผมยาว ส่วนการ์ดกำหนดการงานศพก็เป็นเรื่องที่สามารถทำขึ้นได้เอง 
    ทั้งนี้ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่นำสืบมา จึงมีข้อพิรุธหลายประการ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ (นครราชสีมา) ที่พิพากษามานั้น ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น      


สู้ฐานที่อยู่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง
    นายพงษ์เสกสรร แสนสุข ทนายความ กล่าวว่า จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธมาตลอด และจากการนำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ว่า จำเลยทั้งสองจัดงานศพและงานเก็บอัฐิบิดาของจำเลยทั้งสองที่บ้านใน ต.หนองย่างชิ้น อ.เรณูนคร จ.นครพนม ตั้งแต่วันที่ ๒-๗ มีนาคม ๒๕๕๑ โดยจำเลยทั้งสองอยู่ที่บ้านทุกวัน ไม่เคยมาที่อู่นเรศยนต์เลย ระหว่างการจัดงานศพ จำเลยที่ ๑ ทำหน้าที่เป็นแม่งาน แต่ก็ยังไปทำงานที่ อบต.กุดฉิม ส่วนจำเลยที่ ๒ บวชอุทิศให้บิดาโดยโกนศีรษะโล้น ตั้งแต่วันที่ ๔ เดือนดังกล่าว ดังนั้น ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ จึงไม่ได้มัดผมยาวไว้ด้านหลังดังที่พยานโจทก์อ้างแต่อย่างใด และระหว่างการจัดงานศพในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น. ขณะจำเลยทั้งสองอยู่ที่บ้าน มีเจ้าพนักงานตำรวจมาสอบถามว่า นางสาวอิสริยาเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน ๔ พ – ๓๕๘๓ หรือไม่ แล้วเจ้าพนักงานตำรวจก็กลับไป ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองยังมี ด.ต.สำราญ และส.ต.ท.อภิชาติ เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เรณูนคร เบิกความทำนองเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุพยานทั้งสองได้รับการประสานให้ไปตรวจสอบว่า มีรถกระบะหมายเลขทะเบียนดังกล่าวอยู่ที่บ้านของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบรถคันดังกล่าว แต่พบจำเลยทั้งสองอยู่ที่บ้านจริง ส่วนจำเลยที่ ๒ โกนศีรษะบวชอุทิศส่วนกุศลให้บิดาตามรูปถ่าย ฯ ประกอบกับนางวรรณิตา ยอดมงคล ปลัดอบต.กุดฉิม เบิกความว่า ตั้งแต่วันที่ ๑-๖ มีนาคม ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ไปทำงานที่อบต.กุดฉิมทุกวัน ตามสำเนาบัญชีลงเวลาปฏิบัติราชการ ศาลจังหวัดสีคิ้วจึงพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่คนร้ายที่ร่วมกันกระทำความผิดในคดีส่วนอาญาตามฟ้อง และไม่สามารถบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในคดีส่วนแพ่งได้ 

 

ปลัดเสียดายอนาคตราชการ
    นางวรรณิตา ยอดมงคล ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลกุดฉิม กล่าวว่า “ระหว่างการต่อสู้ในชั้นศาล นายจิระเดช อภัยโส ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้าส่วนโยธา ขยันทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย มีพฤติกรรมดีมาตลอด ต่อมาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นรองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลกุดฉิม ตนรู้สึกใจหายที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกนายจิระเดช และน้องชาย เป็นเวลาคนละ ๑ ปี ๖ เดือน โดยเฉพาะนายจิระเดชฯ ต้องหมดอนาคตความก้าวหน้าทางราชการ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดต้นสังกัดก็สั่งให้ออกจากราชการแล้ว ขณะนี้เพื่อนร่วมงานทุกคน ทั้งผู้บังคับบัญชา และลูกน้อง รวมไปถึงชาวบ้านต่างก็แปลกใจกับคำตัดสินอย่างมาก” 

 

ภริยาเรียกร้องความเป็นธรรม
    ทางด้านนางธัญพร อภัยโส รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่มแก ภริยาจำเลยที่ ๑ กล่าวว่า “อยากขอความเป็นธรรมให้กับสามี เพราะนับตั้งแต่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี สามีก็ยืนยันความบริสุทธิ์มาตลอด เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวอภัยโส ทำให้ขณะนี้มารดาของสามีกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะลูกชายทั้งสองคนก็มาร่วมจัดงานบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจศพของบิดาตลอด ที่สำคัญคือระยะทางที่ห่างไกลจากโคราชถึงอำเภอเรณูนคร ๔๐๐-๕๐๐ กิโลเมตร ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากก่อเหตุ คงไม่สามารถไปถึงจังหวัดนครพนมได้อย่างรวดเร็ว เวลานี้ตนเหมือนขาดผู้นำครอบครัว ทั้งยังต้องมีภาระหนี้สิน และการส่งเสียเลี้ยงดูลูกอีก ๒ คน จากนี้ไปจะปรึกษาทนายความ เพื่อเร่งเข้าสู่กระบวนการรื้อฟื้นคดีทางอาญา และยื่นร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะระยะเวลาต้องโทษจำคุกของสามีค่อนข้างสั้น หากไม่เรียกร้องขอความยุติธรรมหรือรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ เมื่อพ้นโทษสามีก็ไม่สามารถกลับเข้ารับราชการได้อีก และครอบครัวอภัยโสต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง” 
    “หลังจากศาลฎีกาพิพากษาจำคุกที่เรือนจำอำเภอสีคิ้ว ตนและเพื่อนร่วมงานของสามีได้เดินทางไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ โดยสีหน้าของสามียังรอคอยความหวังที่จะพ้นโทษ และสอบถามเรื่องการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่อยู่ตลอด เพื่อจับผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดตัวจริงมารับโทษให้ได้ ขณะนี้สามีก็ใช้ความรู้ที่เรียนจบปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์ ให้ความรู้กับเพื่อนผู้ต้องขังในเรือนจำด้วยกัน” นางธัญพร กล่าว
    นางนัดยะนา คัดทะจันทร์ ภริยาจำเลยที่ ๒ กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับสามีของตน เพราะเป็นการจับผู้ต้องหาผิดตัว ตนก็มีอาชีพเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน ขาดผู้นำครอบครัวก็รู้สึกสิ้นหวัง เพราะมีภาระต้องผ่อนบ้าน และส่งเสียเลี้ยงดูลูกอีก ๒ คน สังคมภายนอกที่ไม่รู้ความจริงก็มองว่า สามีเป็นผู้กระทำความผิดจากคำพิพากษาของศาลดังกล่าว จึงขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้สามี และพี่ชายของสามีด้วย เพราะทุกคนในครอบครัวอภัยโสรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”   
ยื่นหนังสือรื้อฟื้นคดีพิจารณา
    ความคืบหน้าการเรียกร้องความเป็นธรรมในคดีนี้ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ นายพงษ์เสกสรร แสนสุข เปิดเผยกับ ‘โคราชคนอีสาน’ ว่า “ล่าสุดนางธัญพร อภัยโส รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่มแก ได้ยื่นร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนม เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับสามีแล้ว แต่เนื่องจากคดีถึงที่สุดแล้ว จึงแนะนำให้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยสัปดาห์หน้าตนในฐานะทนายความ จะเดินทางมายื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อสำนักงานอัยการภาค ๓, สำนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้ว พร้อมทั้งยื่นหนังสือร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา และขอความยุติธรรมต่อสำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครราชสีมา” 

 

ช่องทางสุดท้ายที่ริบหรี่
    นายวีระศักดิ์ บุญเพลิง อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา ให้ความเห็นต่อการรื้อฟื้นคดีทางอาญาว่า “พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๖ จะต้องเป็นคดีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ต้องรับโทษอาญาในคดีนั้นแล้ว ทั้งนี้ มาตรา ๕ พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญา ระบุไว้ชัดเจนว่า คดีใดที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้บุคคลใดต้องรับโทษอาญาในคดีนั้นแล้ว อาจมีการร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ เมื่อปรากฏว่า (๑) พยานบุคคลซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานนั้นเป็นเท็จ หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง (๒) พยานหลักฐานอื่นนอกจากพยานบุคคลตาม (๑) ซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าเป็นพยานหลักฐานปลอมหรือเป็นเท็จ หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง หรือ (๓) มีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดนั้น จะแสดงว่าบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิด 
    ส่วนบุคคลที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่นั้น มาตรา ๖ ระบุว่า (๑) บุคคลที่ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นเอง (๒) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลของบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น (๓) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลกรณีผู้ต้องรับโทษอาญานั้นเป็นนิติบุคคล (๔) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาของบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาในกรณีที่บุคคลนั้นถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีการยื่นคำร้อง หรือ (๕) พนักงานอัยการในกรณีที่พนักงานอัยการมิได้เป็นโจทก์ในคดีเดิม ซึ่งพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องเมื่อเห็นสมควรเองหรือเมื่อบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) ร้องขอก็ได้ 
    “อย่างไรก็ตาม โดยหลักคดีทางอาญาศาลอุทธรณ์จะไม่ฟังพยานจำเลย แต่จะฟังพยานโจทก์เป็นสำคัญ และสำหรับคดีนี้การต่อสู้อ้างสถานที่อยู่อาศัยหรือฐานที่อยู่ขณะนั้นก็ไม่พิจารณา จึงไม่อาจปราศจากข้อสงสัย รับฟังหรือหาข้อพิรุธได้เลย  และโดยกระบวนการต่อสู้ในชั้นศาลยุติธรรม จำเลยควรดำเนินการฟ้องเจ้าของอู่เบิกความเท็จ ภายหลังศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เพื่อแสดงความมั่นใจและความบริสุทธิ์ แต่ทั้งนี้ เมื่อคดีพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การรื้อฟื้นคดีทางอาญาเป็นช่องทางสุดท้ายที่ริบหรี่ เพราะต้องมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดี เพื่อจะแสดงว่าบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิด” อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา กล่าวในท้ายสุด


694 1352