18thApril

18thApril

18thApril

 

January 28,2015

‘เอสซีจีเปเปอร์’ทุ่ม ๕ พันล้าน ฐานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ เล็งขยายธุรกิจต่างประเทศ


    เอสซีจี เปเปอร์ ทุ่ม ๕ พันล้าน ขยายฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รองรับต่อความต้องการของลูกค้า เน้นผลิตภัณฑ์จากกระดาษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่มีผลกระทบต่อร่างกายของผู้ใช้ พร้อมลุยตลาดบรรจุภัณฑ์เพื่อสินค้าอุปโภคและบริโภค มั่นใจปี ๒๕๕๘ ตลาดกระดาษสดใส พร้อมเล็งขยายธุรกิจครอบคลุมทั่วไทย ไปถึงแอฟริกา อินเดีย และตะวันออกกลาง

นายรุ่งโรจน์  รังสิโยภาส 
กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปเปอร์ 

 

    เมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปเปอร์ เปิดเผยว่า ปี ๒๕๕๘ ได้เปิดสายการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรี ด้วยเงินลงทุนกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท มีกำลังการผลิต ๓๒๐,๐๐๐ ตันต่อปี ซึ่งเป็นเครื่องจักรผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์เครื่องที่ ๑๖ หรือ PM16 ทำให้เอสซีจี เปเปอร์ เป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพราะเครื่องจักรดังกล่าวเป็นนวัตกรรมระดับโลกที่มารวมกับความเชี่ยวชาญทางด้านการผลิตกระดาษของเอสซีจีในด้านของกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการการใช้งานของลูกค้าเริ่มตั้งแต่ระบบการผลิตเยื่อที่สามารถควบคุมสัดส่วนในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ทำให้กระดาษมีความแข็งแรงได้คุณภาพสูงสุด ระบบเครนเก็บจ่ายสินค้าอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มความถูกต้องแม่นยำในการจัดเก็บจัดส่งสินค้า รวดเร็วและลดความเสียหายของกระดาษจากการขนส่ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในด้านการใช้น้ำและพลังงานคุ้มค่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบโรงงาน
    “ฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ใหม่นี้ ทำให้บริษัทฯสามารถผลิตกระดาษคุณภาพรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯยังคงมุ่งขยายตลาดไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในตลาดอาเซียนและตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศอินเดีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง ปัจจุบันกำลังการผลิตรวมของเอสซีจี เปเปอร์ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย กลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์ ๒,๓๐๖,๐๐๐ ตัน โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ แยกเป็น Paper Packaging หรือกลุ่มกระดาษกล่องบรรจุสิ่งของอย่างกล่องกระดาษทิชชู กล่องขนม กล่องใส่ของ อยู่ที่ จำนวน ๑,๐๓๖,๐๐๐ ตันต่อปี แบ่งเป็นไทย เวียดนาม อินโดนีเชีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย และกลุ่ม Flexible Packaging หรือกลุ่มกระดาษผสมเคมีคอล เช่น กระดาษติดขวดน้ำ กระดาษสติกเกอร์ อยู่ที่จำนวน ๑๗,๐๐๐ ตันต่อปี ในไทยและเวียดนาม นอกจากนี้ยังคงมีกระดาษพิมพ์เขียน จำนวน ๕๗๐,๐๐๐ ตันต่อปี และกระดาษเยื่อจำนวน ๔๗๐,๐๐๐ ตัน”


    นายรุ่งโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนต่อเนื่องในปี ๒๕๕๘ เพื่อรองรับต่อความต้องการของลูกค้าซึ่งนอกเหนือจากการผลิตผลิตภัณฑ์จากกระดาษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่มีผลกระทบต่อร่างกายของผู้ใช้ ง่ายๆ คือกรวยกระดาษใส่น้ำดื่ม ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีและไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ๑๐๐% นอกจากนี้ยังคงมุ่งเน้นไปในกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพื่อสินค้าอุปโภคและบริโภคที่มีความปลอดภัยสูง สามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรง ปลอดภัยไร้สารเรืองแสง ผ่านมาตรฐานจาก GMP รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย รวมทั้งการพัฒนาระบบการพิมพ์บรรจุภัณฑ์ให้มีคุณภาพและหลากลหายมากขึ้น เพื่อยกระดับความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ให้ได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้การลงทุนจากนี้ไปนอกจากการเข้าไปร่วมลงทุนในกลุ่มโรงงานและกลุ่มบริษัทฯในธุรกิจกระดาษแล้วยังคงมองไปถึงการซื้อกิจการของโรงงานต่างๆ ในอีกหลายจังหวัด เพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าและยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยรักษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ได้อย่างยั่งยืน


ฉบับที่ ๒๒๗๒ วันจันทร์ที่ ๒๖ - วันเสาร์ที่ ๓๑ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


685 1343