23rdApril

23rdApril

23rdApril

 

January 29,2015

แสนสิริเปลือยแผน’๕๘ เป้ารายได้ ๓๕,๐๐๐ ล. รุกตลาดจังหวัดใหม่ๆ

   ‘แสนสิริ’ หวังเป้ายอดขาย ๓๐,๐๐๐-๓๒,๐๐๐ ล้าน จากเปิดตัว ๑๗-๑๙ โครงการใหม่ และรุกตลาดจังหวัดน้องใหม่ เตรียมเปิดตัวคอนโดฯ โครงการแรก ภายใต้บริษัทร่วมทุน SIRI และ BTS เน้นศักยภาพการเติบโตของบริษัทมั่นคง มั่นใจ ๒ ปีข้างหน้ามีอัตรากำไรสุทธิราว ๑๕% 

นายเศรษฐา ทวีสิน 

    นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี ๒๕๕๘ บริษัทฯ ได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการขยายการพัฒนาโครงการสำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติประมาณ ๑๗-๑๙ โครงการ มูลค่าโครงการรวม ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท โดยแบ่งประเภทการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมประมาณ ๙-๑๐ โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ประมาณ ๗-๙ โครงการ ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมสำหรับปี ๒๕๕๘ ไว้ประมาณ ๓๐,๐๐๐-๓๒,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งประมาณการณ์เป้าหมายรายได้ไว้ที่ ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท
     “ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๘ บริษัทฯ ได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS มูลค่าโครงการประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SIRI และ BTS ในสัดส่วน ๕๐ : ๕๐ โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น ๑๐๐ ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้จากความสำเร็จในการรุกขยายการพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งนับเป็นการขยายสู่ทำเลภาคเหนือตอนล่างเพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าแสนสิริให้ครอบคลุมอีกด้วย รวมทั้งบริษัทฯ จะเดินหน้าตามแผนธุรกิจ Engineer for Growth อย่างต่อเนื่อง หลังจากแผนบางส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วเริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็วและชัดเจน จากอัตรากำไรในปีที่ผ่านมาที่เพิ่มสูงใกล้เคียงเป้าหมายที่ร้อยละ ๑๒” นายเศรษฐา กล่าว  
     นายเศรษฐา เปิดเผยอีกว่า บริษัทฯ ยังได้เตรียมกลยุทธ์ที่จะรุกตลาดที่สามารถลดต้นทุนได้อย่างมาก ด้วยการรุกดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง หรือเน้นการใช้ Social Media (สังคมออนไลน์) ซึ่งสามารถเข้าถึงและดูแลกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังต้องดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สามารถชูให้แสนสิริเหนือกว่าคู่แข่งมาโดยตลอด นั่นคือการบริการหลังการขายผ่านบริษัทลูก คือบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือด้านการให้บริการและให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากว่า ๒๐ ปี ในการดำเนินธุรกิจด้านตัวแทนซื้อ ขาย และเช่าอสังหาริมทรัพย์ ตลอดทั้งบริหารงานขายโครงการ รวมถึงบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัยและบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร ซึ่งในปีที่ผ่านมาก็มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ  


    นายเศรษฐา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้รับความไว้วางใจให้บริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์มาแล้วเป็นจำนวนกว่า ๑๘๐ โครงการ รวมพื้นที่กว่า ๖.๙ ล้านตารางเมตร ในฐานะบริษัทฯ ที่มีศักยภาพจากประสบการณ์อันยาวนาน และความสามารถที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริซ้ำอีก รวมถึงมีการบอกต่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคตอีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อรวมกับแผนการดำเนินธุรกิจที่เน้นศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ อย่างมั่นคง ภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจ Engineer for Growth หรือ EFG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจและองค์กรในระยะยาวแล้ว จะส่งผลให้ในช่วง ๓ ปีข้างหน้านับจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถสร้างอัตรากำไรสุทธิได้ประมาณร้อยละ ๑๕ 
     สำหรับทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในปี ๒๕๕๘ นายเศรษฐา กล่าวว่า “บริษัทฯ เชื่อว่าการดำเนินธุรกิจจะมีทิศทางที่ดีอย่างมากจากปัจจัยหนุนหลายประการ อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๘ ที่คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นกว่าปี ๒๕๕๗ โดยประมาณการอัตราขยายตัว GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศ) อยู่ที่ร้อยละ ๓.๕-๔.๕ ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ที่จะช่วยกระตุ้นให้การผลิตในภาคเอกชนฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับเข้ามาในประเทศได้อีกครั้ง รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกและในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่จะส่งผลให้ประชาชนมีอำนาจในการซื้อสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการก็จะแบกรับต้นทุนที่ลดลงเช่นกัน” 
     “สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลที่ดีต่อเนื่องจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นของอุปสงค์ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะสนับสนุนให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยขยายตัว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๘ ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังคงต้องจับตาเช่นเดียวกัน” นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวในท้ายสุด


ฉบับที่ ๒๒๗๒ วันจันทร์ที่ ๒๖ - วันเสาร์ที่ ๓๑ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


683 1342