สรุปผลดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมา ‘ซีพีเอฟ’ เผยได้กำไร ๒,๙๕๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๔๔% ระบุเป็นความท้าทายการดำเนินธุรกิจในปีนี้ จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวน ทั้งยังมีผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ เตรียมแผนลงทุนเพิ่มในต่างประเทศ หลังผู้ถือหุ้นอนุมัติลงทุนในกัมพูชา เพิ่มโอกาสเติบโตธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมในอินโดจีน

นายอดิเรก  ศรีประทักษ์

    เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๘ โดยระบุว่า มียอดขายจำนวน ๙๖,๒๒๔ ล้านบาท เป็นยอดขายจากกิจการในประเทศไทยจำหน่ายในประเทศไทย ร้อยละ ๓๖ และยอดขายจากกิจการต่างประเทศและการส่งออกจากประเทศไทย ร้อยละ ๖๔ โดยมีกำไรสุทธิจำนวน ๒,๙๕๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ ๔๔   
    นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ ๑ ที่ผ่านมา ปัจจัยที่เป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ส่วนใหญ่สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่ยังมีความผันผวน โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ และการอ่อนค่าของค่าเงินในหลายประเทศ ประกอบกับเนื้อสัตว์ในประเทศไทยประสบภาวะล้นตลาดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพในการเติบโตของภูมิภาคอาเซียนในระยะยาว จากการที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้บริษัทลงทุนเพิ่มในประเทศกัมพูชาที่เดิมถือหุ้นอยู่ร้อยละ ๒๕  เป็นร้อยละ ๑๐๐ บริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการเข้าซื้อหุ้นแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๒ ปีนี้ ซึ่งจะทำให้ซีพีเอฟเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมในเขตอินโดจีน ทั้งยังเป็นเขตที่มีโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจและการบริโภคค่อนข้างสูงในอนาคต
    “สำหรับแผนการดำเนินงานในปี ๒๕๕๘ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ให้ความสำคัญในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ รวมการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก โดยได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจอย่างน้อยร้อยละ ๑๐ จากปี ๒๕๕๗ ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากกิจการในต่างประเทศ” นายอดิเรก กล่าวในท้ายสุด

ฉบับที่ ๒๒๙๓ วันอังคารที่ ๒๖ - วันอาทิตย์ที่ ๓๑ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘