25thApril

25thApril

25thApril

 

November 03,2015

นักวิชาการหนุนปชช.พื้นที่โปแตซ ร่วมสร้างฐานเศรษฐกิจชุมชน รายได้ที่มั่นคงเกิดสุขภาวะที่ดี

นักวิชาการจัดเวทีแลกเปลี่ยนปัญหาเศรษฐกิจและสุขภาวะชุมชน : ทางเลือกทางรอดในอนาคต ในพื้นที่เหมืองโปแตซอุดรธานี หวังให้ประชาชนสร้างฐานเศรษฐกิจในชุมชน เพื่อความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเอง มีรายได้ สร้างเศรษฐกิจและสุขภาวะที่ดี

เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคมที่ผ่านมา เวลาตั้งแต่ ๐๙.๐๐-๑๕.๐๐ น. ณ วัดอรุณธรรมรังษี บ้านโนนสมบูรณ์ ต.ห้วยสามพาด อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี คณะวิทยา ศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหา วิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีแลกเปลี่ยนปัญหาเศรษฐกิจและสุขภาวะชุมชน : ทางเลือกทางรอดในอนาคต ภายใต้โครงการสานพลังสังคมเครือข่ายนักวิชาการและนักกิจกรรมทางสังคมรุ่นใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมและปัญหาสุขภาวะภาคอีสาน โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) มีตัวแทนราษฎรในพื้นที่เข้าร่วมจำนวนกว่า ๓๐ คน

นายฐากูร สรวงศ์สิริ นักวิจัยโครงการฯ กล่าวว่า เวทีนี้เป็นการจัดต่อเนื่องจากการถอดบทเรียนของกลุ่มราษฎรในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตซอุดรธานี ทำให้เราพบว่าปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือนและสุขภาวะเป็นปัญหาสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ ชุมชนจึงเล็งเห็นความสำคัญร่วมกัน จึงนำมาสู่การเก็บข้อมูลเศรษฐกิจและสุขภาวะชุมชน หลังจากได้ข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ ในวันนี้ทางทีมวิจัยได้นำข้อมูลกลับมาแลกเปลี่ยนกับประชาชนในพื้นที่

“ปัญหาของประชาชนทุกวันนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะต้องลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสุขภาวะ ทั้งนี้ โครงการนี้จะเกิดการแก้ไขปัญหาในระดับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างกลไกการเสริมสร้างเศรษฐกิจและสุขภาพชุมชนร่วมกับหน่วยงานของรัฐ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อบต. และผู้นำภายในชุมชน เป็นต้น” นายฐากูร กล่าว

ด้านนายสันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า จากการสำรวจเศรษฐกิจครัวเรือนของชุมชนในปัจจุบัน พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า รายจ่ายของชุมชนที่สำคัญคือค่าอาหารเกือบ ๕,๐๐๐ บาท/เดือน/ครัวเรือน รองลงมาคือค่าเล่าเรียนบุตร ๒,๐๐๐ กว่าบาท อันดับสามคือค่าชำระหนี้สิน และค่าผ่อนรถ ตามมา ซึ่งทำให้เห็นว่า สมัยก่อนชุมชนอีสานสามารถพึ่งพาตนเองด้านอาหารได้ แต่ทุกวันนี้ต้องพึ่งพาภายนอกเกือบ ๘๐% เช่น หมู ไก่ ไข่ และผัก และเกิดโรคภัยมากมายจากการบริโภค ซึ่งเราจะต้องหันมาสร้างความมั่นคงทางอาหาร ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างเศรษฐกิจชุมชนจากสิ่งเหล่านี้ได้ และจะทำให้มีสุขภาวะที่ดีตามมาด้วย นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ และทำงานร่วมกันในอนาคต เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน

อาจารย์สันติภาพ กล่าวต่อว่า “เรื่องเหมืองแร่โปแตซจะเกิดหรือไม่เกิดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะห้ามประชาชนไม่ให้สู้ก็ไม่ได้เพราะกระทบกับวิถีชีวิตของเขา ขณะเดียวกันประชาชนจะต่อสู้อย่างเดียวโดยไม่สนใจเรื่องเศรษฐกิจเรื่องปากท้องก็ไม่ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ถ้าชุมชนมีความเข้มแข็ง มีรายได้ที่มั่นคง มีเศรษฐกิจและสุขภาวะที่ดี ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำไปสู่การพัฒนาอะไรที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพ”

ในส่วนของนายบุญเลี้ยง โยทะกา ราษฎรในพื้นที่ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการฯ กล่าวว่า โดยส่วนใหญ่ประชาชนในพื้นที่จะทำการเกษตรเป็นหลัก แต่พบว่าปัญหาในปัจจุบันของคือ การบริโภคและมักวิ่งตามตลาด เช่น เห็นเขาปลูกอ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์ม ฯลฯ ก็แห่ทำตามกันไป ขณะเดียวกันก็มีการจ้างแรงงาน ใช้เครื่องจักรกล ใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อเอาไปขายกลับขาดทุน และมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครัวเรือน และปัญหาต่อสุขภาวะของคนในชุมชนเป็นอย่างมาก

“โครงการนี้จะเกิดประโยชน์แก่ชุมชนเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เราได้หันกลับมามอง และสำรวจตัวเองมากขึ้น จะเห็นได้ว่าปัญหาเศรษฐกิจในครัวเรือนและสุขภาพกลับเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว คือเรื่องปากท้อง อาหารการกิน ดังนั้นพวกเราควรรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างฐานเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง โดยมีทีมนักวิชาการคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา” นายบุญเลี้ยง กล่าวย้ำ


นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒๓๒๓ วันจันทร์ที่ ๒๖ - วันเสาร์ที่ ๓๑  เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


693 1342