24thApril

24thApril

24thApril

 

November 17,2015

คดีลักเด็กหาย ๔ ปี ยื้อไปยื้อมาหาที่จบไม่ได้

คดีเด็กทารกถูกขโมยจากโรงพยาบาล ๔ ปีที่แล้วยังวุ่น! หลังเปิดเจรจาสองฝ่ายยินยอมไป-มาหาสู่กันหวังสร้างความคุ้นเคยก่อน แต่มากลับลำเปลี่ยนใจจะรับตัวไปอยู่ด้วย ด้านแม่ตัวปลอมวืดประกันตัว ยังถูกควบคุมในเรือนจำไม่มีกำหนด ตร.เผยจ่อถูกแจ้งข้อหาปลอมแปลงเอกสารราชการด้วย

ตามที่เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๒.๐๐ น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค ๔ จังหวัดขอนแก่น พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค ๔ (ผบช.ภ.๔) พร้อมด้วย พล.ต.ต.จตุพล ปานรักษา รอง ผบช.ภ.๔, พล.ต.ต.ยรรยง เวชโอสถ ผบก.สส.ภ.๔ และพ.ต.อ.เกษม มุทาพร ผกก.สืบสวน ๒ บก.สส.ภ.๔ ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุม นางอัญชุลี ชิดขุนทด อายุ ๓๒ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒๓๓ หมู่ ๕ ตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ที่ จ.๗๕/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนยังคงตั้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาว่า กระทำความผิดโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี ไปจากบิดาและมารดา ซึ่งตรงกับการขออนุมัติหมายจับที่ จ.๗๔/๒๕๕๔ ลงวันที่  ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ของชุดสืบสวนสอบสวน ๒ บก.สส.ภ.๔ ซึ่งเป็นเจ้าของคดี ทั้งนี้ ในข้อกฎหมายนั้นผู้ต้องหาจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ ๓-๕ ปี ปรับตั้งแต่ ๖,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ต้องอยู่ในดุลพินิจของศาล เนื่องจากเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาให้ประกันตัวหรือตัดสินในคดีความดังกล่าวอย่างไร ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนนั้นไม่ได้คัดค้านการประกันตัว


ตร.สาวถึงผู้ต้องหาจากสูติบัตร
 
พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค ๔ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ราว ๔ ปีที่แล้ว หลังเกิดเหตุคนร้ายเข้าทำการลักเด็กทารกแรกเกิดอายุ ๒ วัน ของนางกัลย์สุดา สำแดง อายุ ๒๖ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๗๖ หมู่ ๗ บ้านดอนบม ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ขณะพักฟื้นอยู่ภายในหอผู้ป่วยหลังคลอด ชั้น ๒ แผนกสูติกรรม ๑ อาคารราชนครินทร์ โรงพยาบาลขอนแก่น โดยคนร้ายอาศัยจังหวะขณะที่ผู้เสียหายเข้าไปทำกิจธุระส่วนตัวในห้องน้ำภายในอาคารดังกล่าว ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า คนร้ายเป็นหญิงอายุประมาณ ๓๐–๔๐ ปี รูปร่างท้วมผิวคล้ำ สวมเสื้อแขนสั้นลายขาว-ดำแล้วสวมทับด้วยเสื้อวอร์มแขนยาวสีขาว และสวมกางเกงขาสามส่วนลายขาว-ดำ พร้อมรองเท้าแตะ ได้อุ้มเด็กทารกเดินผ่านเคาน์เตอร์ด้านหน้าชั้น ๒ ของโรงพยาบาลลงบันไดผ่านหน้าลิฟท์ชั้น ๑ แล้วออกจากอาคารดังกล่าวไป ซึ่งชุดสืบสวนสอบสวนจึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวติดตามหญิงคนร้ายที่ก่อเหตุเรื่อยมา กระทั่งเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ ทราบว่า ทางโรงเรียนวังตาเทพ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ตรวจพบพิรุธในใบสูติบัตรของ ด.ญ.อาริษา ชิดขุนทด อายุ ๔ ปี ซึ่งมาสมัครเข้าเรียน โดยมีรอยลบหลายแห่ง จึงเชื่อว่าเป็นสูติบัตรปลอม

‘ดีเอ็นเอ’สัมพันธ์แม่-ลูกแท้ๆ

พ.ต.อ.เกษม มุทาพร ผกก.สืบสวน ๒ บก.สส.ภ.๔ กล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทำการตรวจพิสูจน์ยืนยันบุคคล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มของ ด.ญ.อาริษา ชิดขุนทด และนางกัลย์สุดา สำแดง นำไปตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอ และได้รับรายงานผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอจากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน ๓ แจ้งว่า ดีเอ็นเอของ ด.ญ.อาริษาฯ มีความสัมพันธ์แบบมารดา-บุตรกับดีเอ็นเอของนางกัลย์สุดาฯ และจากการตรวจสอบยังพบอีกว่า นางอัญชุลี ชิดขุนทด มีตำหนิรูปพรรณตรงกับคนร้ายที่ก่อเหตุในวันดังกล่าว ประกอบกับมีพยานยืนยันว่าเป็นคนร้าย จึงได้ติดตามตัวนางอัญชุลีฯ และเข้าจับกุมตัว โดยรับสารภาพว่า เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุลักเด็กทารกในโรงพยาบาลขอนแก่นไปจริง ส่วนสาเหตุเนื่องจากแท้งลูกขณะตั้งครรภ์ได้ประมาณ ๖ เดือน นางอัญชุลีฯ อยากมีลูกจึงลักพาตัวเด็กหญิงไป  

สารภาพสิ้นลงมือก่อเหตุ

ทั้งนี้ จากการสอบสวนผู้ต้องหาโดยละเอียด นางอัญชุลี ชิดขุนทด ให้การรับสารภาพว่า “วันที่ก่อเหตุได้ลงมือเพียงคนเดียว โดยขับรถยนต์เก๋งมาขโมยทารกจากโรงพยาบาลขอนแก่น แล้วบอกกับสามีว่าเป็นลูกของเราจึงได้มอบให้กับปู่-ย่าได้เลี้ยง จากนั้นตนและสามีไปทำงานที่ต่างจังหวัด โดยแวะมาหา ด.ญ.อาริษาฯ เดือนละครั้งสองครั้ง ซึ่งตนและสามีก็รักเด็กเหมือนลูกจริงๆ กระทั่งเรื่องมาแดงขึ้นว่า ตนเองขโมย ด.ญ.อาริษาฯ มาจากโรงพยาบาลขอนแก่น จึงยอมให้ตำรวจจับกุมพร้อมกับให้เป็นเรื่องของกฎหมายที่จะดำเนินการกับตน ส่วนด.ญ.อาริษาฯ ก็ยังอยู่กับพ่อจำเป็นของเด็ก พร้อมกับปู่-ย่าต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ตนยอมรับผิดหลังจากศาลตัดสินทำโทษตนไปแล้ว และเมื่อพ้นผิดก็จะขอซื้อ ด.ญ.อาริษาฯ จากแม่ที่แท้จริง แม้ว่าจะเรียกราคาถึง ๑ ล้านบาทก็จะยอมจ่าย”

รร.พบพิรุธเอกสารสูติบัตร

ด้านนางรุ่งนภา หอมเกตุ ครูประจำชั้นอนุบาล ๑ โรงเรียนวังตาเทพ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะทางโรงเรียนวังตาเทพได้รับ ด.ญ.อาริษาฯ เข้าเรียนเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงอายุ ๓ ขวบ แต่เมื่อใกล้ถึงช่วงชั้นอนุบาล ๑ ทางโรงเรียนต้องขอเอกสารที่จะต้องนำมาบันทึกประวัติในใบ กพ. เพื่อที่จะมีสิทธิต่างๆ ทางการเรียนได้มากขึ้น จึงติดต่อไปที่ปู่-ย่าซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูอยู่ที่บ้าน เพราะพ่อ-แม่ของเด็กไปทำงานนอกพื้นที่บ่อยครั้ง จึงให้ย่าของเด็กช่วยนำสูติบัตรมาให้ทางโรงเรียน พร้อมเอกสารหลักฐานเป็นบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ทางย่าของเด็กไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวมาส่งให้นานหลายเดือน กระทั่งล่วงเลยมานานถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาตนจึงให้ย่าติดต่อกับแม่ของเด็กอีกครั้ง แต่นางอัญชุลีฯ ก็อ้างว่าสูติบัตรลืมไว้ที่จังหวัดขอนแก่น จึงขอยืดเวลาในการยื่นเอกสารดังกล่าวออกไป ล่าสุดเกิดเรื่องช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นางอัญชุลีฯ จึงนำสูติบัตรมาให้ทางโรงเรียน ซึ่งระหว่างที่จะบันทึกข้อมูลตามสูติบัตรนั้นกลับพบสิ่งผิดสังเกตว่า ในสูติบัตรนี้มีร่องรอยการถูกลบและเขียนทับด้วยปากกา และข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชนไปตรงกับเด็กคนหนึ่ง ที่มีอายุ ๙ ขวบ ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น และตัวเลขในบัตรประจำตัวประชาชนของพ่อและแม่ของด.ญ.อาริษาฯ ก็ไม่ตรงกันในสูติบัตรด้วย

เด็กซึมเศร้าสธ.รุดเยียวยา

ต่อมาวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จังหวัดชัยภูมิ และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเทพสถิต ได้จัดชุดแพทย์ลงพื้นที่เพื่อติดตามสอบถามรายละเอียด ด.ญ.อาริษาฯ เพื่อจะช่วยเยียวยาสภาพจิตใจของเด็กด้วยเพิ่มเติมอีกทาง ภายหลังทราบว่าเด็กมีอาการซึมเศร้าไม่ร่าเริงอย่างเห็นได้ชัดเจน หลังจากทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ปู่และย่าจำเป็นของเด็กต้องพาหลบพักตัวไว้ที่บ้านญาติแห่งหนึ่งไว้ก่อน ระหว่างรอการดำเนินคดีความจะเสร็จสิ้น เพราะไม่อยากให้ใครมาสอบถามเด็ก และทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพจิตใจ

นายสาคร ชิดขุนทด อายุ ๕๒ ปี ซึ่งเป็นปู่จำเป็นของด.ญ.อาริษาฯ กล่าวว่า ทุกวันนี้หลังทราบเรื่องว่าเด็กไม่ใช่หลานแท้ๆ ก็ยังมีความรักและความผูกพัน เพราะเลี้ยงหลานสาวคนนี้มาตั้งแต่อายุประมาณ ๕ วัน หลังลูกชายและลูกสะใภ้นำมาให้ช่วยเลี้ยง ปู่-ย่าก็ช่วยกันดูแลอย่างเต็มที่ด้วยดีมาตลอดถึงปัจจุบันอายุ ๔ ขวบแล้ว เพราะครอบครัวเราไม่มีหลาน มีเพียง ด.ญ.อาริษาฯ เพียงคนเดียว ขณะนี้ก็ไม่อยากให้เด็กต้องมารับสภาพที่ยากเกินเด็กวัยนี้จะรับได้ ซึ่งตนก็เห็นใจแม่ที่แท้จริง แต่เมื่อหลานสาวมารู้ว่าปู่-ย่า และพ่อ-แม่ ในปัจจุบันไม่ใช่ตัวจริงก็มีอาการเงียบผิดปกติ จึงอยากจะหาทางออกช่วยกันและไม่อยากให้หลานต้องมาเสียความรู้สึกว่าใครเป็นพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย ที่แท้จริงอีก อีกทั้งตนมองว่าแม่เด็กตัวจริงนั้นก็ไม่ต่างอะไร เราคือญาติพี่น้องกันแวะเวียนไปมาหาสู่กันได้ตลอด จะทำให้เด็กเกิดความผูกพันไปเอง น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าให้ย้ายไปอยู่เลย

เตรียมบ้านทรงไทยรับขวัญ

จากนั้นเมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านเลขที่ ๗๕/๕ บ้านดอนบม หมู่ ๗ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านพักของนางกัลย์สุดา สำแดง แม่ที่แท้จริง พร้อมด้วยปู่-ย่า ซึ่งพากันจัดเตรียมห้องนอนภายในบ้านเรือนไทยหลังงาม เพื่อเตรียมต้อนรับหลานสาววัย ๔ ขวบ คือ ด.ญ.ศิริประภา สำแดง หรือน้องบูม ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่โรงพยาบาลขอนแก่น

นางภัลลภา สำแดง อายุ ๖๘ ปี ย่าที่แท้จริง ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการเกษียณ กล่าวว่า “มีบ้านเรือนไทย ๒ หลังติดกัน และจะยกหลังที่ ๒ ให้หลานสาว ตั้งแต่รู้ว่านางกัลย์สุดาฯ ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด แต่ทุกอย่างก็ต้องปล่อยว่างเปล่าไว้ เพราะน้องบูมถูกลักพาตัวไปตั้งแต่อายุ ๒ วัน เมื่อพบตัวหลานสาวแล้วญาติพี่น้องจึงมาทำความสะอาด โดยจัดเตรียมห้องพักไว้ให้ต้อนรับวันที่หลานสาวกลับมา”

ด้านนางกัลย์สุดา สำแดง แม่ที่แท้จริง กล่าวว่า “ขณะนี้ได้จัดเตรียมห้องดังกล่าวไว้ให้ลูกสาว เพราะวันที่ ๙ พฤศจิกายนนี้ ตนและปู่-ย่าที่แท้จริงจะเดินทางไปเยี่ยมลูกและรับลูกกลับจังหวัดขอนแก่น แต่ติดตรงที่ปู่-ย่าตัวปลอมที่จังหวัดชัยภูมิไม่ยอมให้มา อ้างว่ารักและผูกพันมาก ทั้งยังจะให้ตนย้ายไปอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ ๒ ปีจะเป็นไปได้อย่างไร แม่ลูกเจอหน้ากันแล้วจะให้พรากจากกันอีก และที่น่าแปลกใจก็คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้ตนไปอยู่เลี้ยงลูกที่จังหวัดชัยภูมิ อ้างว่าต้องสร้างความคุ้นเคยก่อน แต่ตนจึงอยากให้มองความเป็นจริงที่ว่า ลูกกลับมาอยู่จังหวัดขอนแก่นกับแม่แท้ๆ จะคุ้นเคยและผูกพันมากกว่าอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิด หรือไม่ใช่เครือญาติ”

สองฝ่ายเปิดเจรจาที่ชัยภูมิ

ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖, สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ จากทั้งจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดชัยภูมิ ได้ร่วมกันเชิญตัวแทน ทั้งฝ่ายแม่ที่แท้จริงพร้อมตา เดินทางมาเจรจาทำความเข้าใจร่วมกันกับฝ่ายพ่อตัวปลอมและปู่-ย่าของด.ญ.อาริษาฯ หลังแม่ตัวปลอม ยังไม่ได้รับการประกันตัว และยังคงถูกคุมขังตัวไว้ก่อนที่สภ.ขอนแก่น อย่างไรก็ตาม การเจรจาในครั้งนี้ ณ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ทั้งสองฝ่ายขอไม่ให้สื่อมวลชนทุก แขนงเข้าไปในห้องประชุมของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเทพสถิต จนกว่าจะมีการทำข้อตกลงที่ชัดเจนก่อน และจะออกมาแถลงผลการเจรจา โดยตัวแทนทั้งสองฝ่ายด้วยตัวเอง ซึ่งบรรยากาศก่อนการเจรจา นายธวัชชัย ปิดสุวรรณ ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ได้นำตัวแทนชาวบ้านจากหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิกว่า ๕๐ คน เดินทางมารอให้กำลังใจครอบครัวทั้งสองฝ่าย และอยากให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันจบลงด้วยดี ซึ่งเริ่มมีการประชุมตั้งแต่เวลา ๑๑.๐๐ น. ไปถึงเวลาเกือบ ๑๕.๐๐ น. จึงเปิดการแถลงข่าว
 
โดยตัวแทนญาติทั้งสองฝ่าย กล่าวว่า “ข้อตกลงในเบื้องต้นครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะช่วยกันดูแลเด็กร่วมกันไปก่อนจนกว่าเด็กจะรับได้และพร้อมกลับคืนสู่อ้อมอกของแม่ที่แท้จริงต่อไป โดยจะให้เด็กเรียนหนังสือและพักอยู่ที่บ้านของปู่-ย่าจำเป็นที่จังหวัดชัยภูมิไปก่อนระยะหนึ่ง โดยจะให้แม่ตัวจริงรวมทั้งคุณตาเดินทางมาเยี่ยมลูกได้ตลอดเวลา และให้นำลูกสาวกลับไปดูแลที่จังหวัดขอนแก่นได้เป็นระยะๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเด็ก โดยจะผลัดเปลี่ยนกันนำเด็กไปดูแลทั้งที่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดขอนแก่น ซึ่งจากนี้ไปทั้ง สองครอบครัวจะพร้อมเป็นญาติพี่น้องกัน เพื่อเยียวยาเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ให้กระทบต่อเด็กให้ดีที่สุด และทางฝ่ายแม่ตัวจริงและคุณตา ก็พร้อมให้อภัยเรื่องที่เกิดขึ้นต่อครอบครัวแม่ตัวปลอมทั้งหมด โดยเฉพาะทางฝ่ายปู่และย่าจำเป็นที่พอทราบเรื่องก็ไม่รังเกียจ แต่กลับยังให้ความรักความผูกพันตั้งใจช่วยกันเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมาตลอด ซึ่งไม่มีเจตนานำเด็กมาทารุณกรรมแต่อย่างใด และต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกันให้แม่ที่แท้จริงได้พบกับลูกที่หายไปนานกว่า ๔ ปีในครั้งนี้ด้วย” 

วืดประกันตัวแม่ปลอม

สำหรับการยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหานั้น เมื่อเวลา ๑๖.๓๐ น. วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ที่สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.อ.นพดล เพ็ชรสุทธิ์ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น เปิดเผยว่า ตามกำหนดการเดิมวันนี้ (๙ พ.ย. ๕๘) ทีมทนายความและญาติของผู้ต้องหา คือ นางอัญชุลี ชิดขุนทด จะนำหลักทรัพย์มายื่นขอประกันตัวหลักแสนบาทนั้น แต่ในวันนี้กลับยังไม่มาดำเนินการใดๆ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นถือว่าได้ส่งฟ้องต่อศาลไปแล้ว การให้ประกันตัวหรือไม่อยู่ที่ดุลพินิจของศาลจังหวัดขอนแก่น โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการอย่างเต็มที่และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายในภาพรวมทั้งหมด ซึ่งโทษของผู้ต้องหาดังกล่าว มีความผิดจำคุก ๓-๑๕ ปี ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้คุมตัวผู้ต้องหาส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดขอนแก่นเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนในชั้นศาลก็แล้วแต่ดุลพินิจของศาลว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่? ส่วนพนักงานสอบสวนไม่ได้คัดค้านประกันตัวแต่อย่างใด

“อย่างไรก็ตาม สำหรับการปลอมแปลงเอกสารสูติบัตรและเอกสารต่างๆ นั้น พนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานเพื่อส่งมอบให้ สภ.หนองเรือ จังหวัดขอนแก่น รับไปดำเนินคดี เนื่องจากการปลอมแปลงเอกสารดังกล่าวและผู้ที่ถูกปลอมแปลงเป็นญาติพี่น้องของผู้ต้องหา และมีบ้านพักอาศัยอยู่ที่อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น จึงยังไม่ทราบว่ามีการแจ้งความหรือไม่ ซึ่งผู้ต้องหาอาจจะถูกแจ้งข้อหาปลอมแปลงเอกสารของทางราชการอีกข้อหาหนึ่งก็เป็นได้” ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น กล่าว

แม่ตัวจริงกลับลำเร่งรัด

ล่าสุดวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ‘โคราชคนอีสาน’ ได้รับรายงานว่า หลังจากแม่ตัวจริงและตาแท้ๆ ของด.ญ.อาริษา ชิดขุนทด เดินทางมาเจรจาและกลับไปที่จังหวัดขอนแก่น แต่ทั้งนี้ กลับเปลี่ยนใจจากข้อตกลงร่วมกันไว้ว่าการเดินทางไป-มาหาด.ญ.อาริษาฯ ที่จังหวัดชัยภูมินั้นค่อนข้างไกล และอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตัดสินปัญหานี้ให้โดยเร็วอีกครั้ง เพราะต้องการที่จะรับลูกสาวกลับไปอยู่ในความดูแลที่จังหวัดขอนแก่นในเร็ววันนี้

ปู่จำเป็นวอนห่วงสภาพจิตใจ

ต่อเรื่องนี้นายสาคร ชิดขุนทด วัย ๕๒ ปี ปู่จำเป็น ออกมาเปิดเผยว่า ตนไม่ทราบว่าเมื่อมีการพูดคุยกันแล้ว โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเข้ามาช่วยเป็นสักขีพยาน และตกลงว่าจะช่วยกันดูแลฟื้นฟูสภาพจิตใจน้องข้าวหอม (ด.ญ.อาริษา ชิดขุนทด) ร่วมกันไปก่อนอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้หลานปรับตัวให้ได้ก่อน และทางเราเองก็พร้อมจะให้แม่แท้ๆ ของเด็กรับตัวไปดูแล แต่ขอว่าให้น้องปรับตัวให้ได้ก่อนเท่านั้นที่เราอยากให้ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เพื่อที่จะไม่ให้น้องข้าวหอมเกิดผลกระทบทางสภาพจิตใจหนักไปมากกว่านี้ อยากให้คิดถึงเด็กเป็นหลัก หากจะรับตัวไปอยู่ด้วยที่จังหวัดขอนแก่นขณะนี้น้องคงปรับตัวไม่ทันแน่ อีกทั้งขณะนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อใดๆ มาจากแม่และตาแท้ๆ เลย หลังมีการพูดคุยกันรู้เรื่องทุกฝ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งหลังทราบว่ามีข่าวออกมาทางฝ่ายแม่ตัวจริงมีการเปลี่ยนใจ และจะขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตัดสินเพื่อนำเด็กไปอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นในเร็ววันนี้ จึงอยากขอวิงวอนเห็นต่อสภาพจิตใจเด็กด้วย ซึ่งเราเป็นปู่-ย่าเลี้ยงที่เขามาตั้งแต่อายุ ๕ วัน ถึงปัจจุบันอายุ ๔ ขวบแล้ว หากน้องรับไม่ได้และปรับตัวไม่ทัน เกิดคิดว่าไม่ใครรักถูกปู-ย่า พ่อ-แม่ ที่เด็กเข้าใจว่าเป็นตัวจริงทอดทิ้ง และจะเกิดปัญหาต่อตัวน้องว่าเกิดมาไม่มีใครรักเธอจริงต่อไปได้ และอาจถูกมองว่าปู่-ย่า พ่อ-แม่ที่เขาเห็นมาตั้งแต่แรกทอดทิ้งให้ไปอยู่กับคนอื่น ก็จะกระทบต่อสภาพต่อจิตใจเด็กมากกว่านี้ หากเด็กยังไม่พร้อมที่จะคุ้นเคยกันก่อนได้

“ทางเราเป็นปู่-ย่าจำเป็นก็มีความพร้อม และหากเด็กพร้อมเราก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้อีก หรือถ้าเห็นว่ามาที่จังหวัดชัยภูมิ ลำบากหรือไกลจะช่วยกันสลับให้ทางจังหวัดชัยภูมิพาน้องไปหาเพื่อช่วยกันทำความคุ้นเคยให้มากขึ้นเราก็พร้อมที่จะเดินทางไปมาหาสู่ได้ตลอด แต่จะให้รับเด็กไปอยู่เลยทันทีในช่วงนี้น่าจะเป็นผลเสียต่อตัวน้องข้าวหอมมากกว่า จึงอยากให้หลายฝ่ายเห็นใจในเรื่องนี้ด้วย เราไม่ได้กีดกันอะไร ขอให้เด็กมีความพร้อมก่อนก็จบ ตนรู้สึกงงๆ เหมือนกัน เพราะล่าสุดได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วกลับมาเปลี่ยนใจอีก” นายสาคร กล่าวในท้ายสุด

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒๓๒๖ วันพุธที่ ๑๑ -  วันอาทิตย์ที่ ๑๕  เดือนพฤศจิกายน  พุทธศักราช ๒๕๕๘


704 1342