24thApril

24thApril

24thApril

 

March 22,2017

ยึดสำนักธรรมกาย บุกรุกที่หลวง-ฮุบที่ราษฎร

                ประกาศยึดศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านหนองค่าย เครือข่ายวัดธรรมกาย หลังตรวจพบรุกที่ป่าสาธารณะและยึดที่ทำกินประชาชน ล่าสุดพบลั่นกุญแจไว้ ไร้เงาคนเข้า-ออก ประชาชนเผยเปิดร่วม ๕ ปี มีแต่คนนอกพื้นที่เดินทางมาปฏิบัติธรรม ส่วนคนบุรีรัมย์ไม่มีใครกล้า เพราะตรวจสอบเข้มข้น

                เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐ พล.ต.อ.   ศรีวราห์ รังสิพรามหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล พร้อมด้วยพล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๑, พล.ต.ต.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการ กระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, พล.ต.ต.ชาติชาย เอี่ยมแสง ผบก.ประจำ บช.ก. พล.ต.คณิศร สุนทรธีมากร ผู้ช่วยผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ, พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ หลังได้รับการร้องเรียนว่ามีผู้มีอิทธิพลบุกรุกแผ้วถางป่าสาธารณะประโยชน์ ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ กว่า ๖๔ ไร่ เพื่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมในเครือข่ายของวัดพระธรรมกาย ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ตำรวจ ปทส. พร้อมกับหน่วยป้องกันรักษาป่า ที่บร.๔ (บาระแนะ) เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวพบมีการรุกที่ป่าจริง จึงร้องทุกข์กล่าวโทษฐาน “แผ้วถางป่า ก่อสร้าง ยึดครอง ทำให้เสื่อมสภาพ มีความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ และพ.ร.บ.ที่ดิน” พนักงานสอบสวน ปทส.จึงรับเป็นคดี และจากการสืบสวนสอบสวนปรากฏหลักฐานว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ มีพระปลัดเกื้อกูล สุภนันโท อายุ ๕๓ ปี สังกัดวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นผู้ดูแล

ศรีวราห์’รุดตรวจสอบ

                อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้ร่วมประชุมกับหลายภาคส่วน ที่ สภ.สองห้อง ก่อนจะลงพื้นที่หมู่ ๑๐ บ้านหนองค่าย ม.๑๐  ต.บ้านบัว อ.เมือง ซึ่งที่ตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม จากการตรวจสอบพบว่ามีการล้อมรั้วไว้อย่างแน่นหนา เนื้อที่ ๖๔ ไร่ โดยพบว่ามีสิ่งปลูกสร้างอาคารต่างๆ มากกว่า ๕ หลัง และอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ขนาดใหญ่อีก ๑ หลัง มีการขุดบ่อบาดาล ตั้งเสาสัญญาณและสายนำสัญญาณ โดยมีชาวบ้านที่อ้างว่า เคยถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวส่วนหนึ่งแต่ถูกศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ล้อมรั้วฮุบที่โดยมิชอบ ซึ่งระหว่างที่รอง ผบ.ตร. และคณะฯ ตรวจสอบพื้นที่ภายในศูนย์ปฏิบัติธรรมอยู่นั้น มีผู้ที่ศรัทธาในศูนย์ปฏิบัติธรรมมาบันทึกภาพของเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา กระทั่งเกิดการโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ จึงเข้าขอตรวจสอบบัตรประชาชนและอุปกรณ์บันทึกภาพของบุคคลดังกล่าว

                พล.ต.อ.ศรีวราห์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ยังไม่พบการขออนุญาตจดทะเบียนเป็นสำนักสงฆ์หรือวัดแต่อย่างใด เปิดใช้มา ๔-๕ ปี มีผู้มาปฏิบัติธรรมตลอด แต่ปิดตัวไปตั้งแต่เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี จากการตรวจสอบและข้อมูลหลักฐานศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้เข้าข่ายบุกรุกป่า ทั้งนี้เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มดำเนินคดี ก็มีชาวบ้านในพื้นที่เข้าร้องเรียนว่าพื้นที่ดังกล่าวบางส่วนเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง แต่มีการเปลี่ยนมือโดยมิชอบ จนตกเป็นของศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ๔ ราย โดยหนึ่งในนั้นคือนางธนู ชนะศึก ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ที่อ้างว่ามารดาเคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ๓๘ ไร่ มีเอกสารสิทธิ์ นส.๓ ถูกต้อง ซึ่งก็ต้องตรวจสอบต่อไปว่าชาวบ้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ภายใน ๑-๒ วันนี้จะออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง และเบื้องต้นได้อายัดพื้นที่ห้ามเข้าจนกว่ากระบวนการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น

ประชาชนถูกฮุบที่ดิน

                นางธนู กล่าวว่า มารดาของตนถือครองสิทธิทำกินในที่ดิน ๓๘ ไร่มากว่า ๕๐ ปีแล้ว แต่เมื่อปี ๒๕๑๖ แม่ได้นำไปขายฝากกับญาติ จำนวน ๒๕ ไร่ เป็นเงิน ๕๐๐ บาท และได้ไถ่ถอนหมดแล้ว แต่เมื่อไปขอเอกสารสิทธิ์คืน กลับไม่ได้ กระทั่งพบภายหลังว่ามีการออกโฉนดที่ดินผืนนี้ และมีการขายให้บุคคลที่เป็นตัวแทน สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมนี้ ตนได้ฟ้องร้องขอคืนสิทธิมาตลอด แต่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม กลับถูกฮุบที่ไปทั้งหมด จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ เพราะอยากขอคืนที่ดินส่วน ที่เหลือ ๑๓ ไร่ นอกเหนือจาก ๒๕ ไร่ ที่แม่ได้ขายฝากไปก่อนหน้านี้แต่ถูกฮุบไปทั้งหมด เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ทำกินผืนสุดท้ายของครอบครัว

ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์

                ต่อมาในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๐ นายปริญญา โพธิสัตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับมอบหมายจากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง โดยทางจังหวัดจะประสานกับทางสำนักงานที่ดินจังหวัด ป่าไม้ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าทำการตรวจวัดแนวเขตพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านหนองค่ายอย่างละเอียดอีกครั้งว่า บริเวณไหนเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ นส.๓  ที่ออกโดยหน่วยงานราชการอย่างถูกต้อง หรือพื้นที่ไหนบุกรุกป่าสาธารณะ และยึดเอาที่ดินทำกินของราษฎรที่มี สค.๑ หลังได้มีราษฎรร้องเรียนว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ซึ่งเป็นเครือข่ายวัดพระธรรมกาย ได้ยึดครอบครองเอาที่ดินของประชาชนทั้งที่มีเอกสารสิทธิ์ นส.๓ และ สค.๑ ซึ่งก็ต้องมีการตรวจพิสูจน์ตามเอกสารหลักฐาน โดยต้องใช้เวลาตรวจสอบเพื่อให้เกิดความถูกต้องชัดเจน และเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับพื้นที่ที่เป็น สค.๑ ที่ทางชาวบ้านอ้างว่าได้ทำกินมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ นั้น ต้องมีการตรวจสอบเช่นเดียวกันว่า ผู้ใดทำกินจริงและ     ถือครองกรรมสิทธิ์ถูกต้อง และหากประชาชนมีเอกสารสิทธิ์ถือครองถูกต้องก็จะดำเนินการ    ช่วยเหลือตามขั้นตอน แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าวมีการบุกรุกป่า และยึดเอาที่ของราษฎรจริง ก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ประกาศยึดศูนย์ปฏิบัติธรรมแล้ว 

                ล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๐ เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ บร.๔ บาระแนะ และกองกำกับการปปส. ได้นำป้ายประกาศไปติดไว้บริเวณกำแพงรั้วด้านหน้าศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ โดยมีข้อความว่า “ประกาศตรวจยึดพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์” ทวงคืนผืนป่า เนื้อที่ ๖๔ ไร่ ๑ งาน ๘๒ ตารางวา  และข้อความตามกฎหมายอาญา บันทึกการตรวจยึดศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ฉบับลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาพื้นที่บริเวณศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๘๔  มาตรา ๕๔ ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น เว้นแต่จะกระทำภายในเขตที่ได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรม เงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงมาตรา ๗๒ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕๔ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๕ หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  ในกรณีความผิดตามมาตรานี้ ถ้าได้กระทำเป็นเนื้อที่เกิน ๒๕ ไร่ ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒–๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐–๑๐๐,๐๐๐ บาท ภายหลังเจ้าหน้าที่ ปทส. และหน่วยป้องกันรักษาป่า ที่ บร.๔ (บาระแนะ) ได้แจ้งเข้าตรวจสอบและพบว่ามีการรุกที่ป่าจริง กับศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ซึ่งภายหลังมีการแจ้งความและปิดประกาศยึดศูนย์ปฏิบัติธรรม และพบว่ามีการล็อคกุญแจปิดตาย ไม่มีผู้ใดเข้าออก ส่วนความคืบหน้าคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการของปทส. ซึ่งยังไม่มีการส่งมอบคดีให้กับตำรวจในพื้นที่แต่อย่างใด

เปิด ๕ ปีคนในพื้นที่ไม่กล้าเข้า

                ขณะที่ชาวบ้านหนองค่าย ต.บ้านบัว เปิดเผยว่า หลังจากมีการตรวจสอบและยึดศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเข้า-ออก ต่างจากก่อนหน้านี้จะมีผู้คนจากต่างจังหวัดเดินทางเข้า-ออกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่ศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าวเปิดมาร่วม ๕ ปี ราษฎรในพื้นที่แทบจะไม่มีผู้ใดเข้าไป เพราะเข้าออกค่อนข้างยากต้องมีการตรวจสอบที่เข้มงวด ขณะที่นางแต๋ว โอทารัมย์ ลูกสาวของนางเพิน โอทารัมย์ ก็ออกมายืนยันว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าวได้ล้อมรั้วเอาที่ดินทำกินของครอบครัวตนเองไปกว่า ๒๐ ไร่จริง  เพราะก่อนหน้านี้ตนทำไร่อ้อย ปลูกถั่ว และทำนามาโดยตลอด แต่กลับถูกศูนย์ปฏิบัติธรรมฮุบที่ดินของตนไป โดยช่วงแรกมารดาตนก็เคยจ้างทนายความทำเรื่องต่อสู้คดี แต่ไม่คืบหน้าจึงได้หยุดดำเนินการ เพราะไม่มีทรัพย์ที่จะดำเนินเรื่องต่อ จึงทำให้ครอบครัวไม่มีที่ทำกินมาถึงทุกวันนี้

 

 

 

 

โปรดติดตามข่าวโดยละเอียดจาก  นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๒ ฉบับที่ ๒๔๒๓ วันอังคารที่ ๒๑ - วันเสาร์ที่ ๒๕ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐


709 1360