3rdMay

3rdMay

3rdMay

 

May 23,2017

โคราชอยู่ยาก มาเฟียรื้อที่ ไล่ยิง หอบลูกเมียหนี หวั่นโดนเก็บ

            อดีตผู้ใหญ่บ้านหนองบุญมาก หอบครอบครัวหนีตาย แจ้งศูนย์ฯ ขอความเป็นธรรม และความปลอดภัยของครอบครัว วอนให้ผู้เสียหายและพยานรายอื่นๆ ออกมาแจ้งความ กวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพล อดีตกำนันตำบลไชยมงคลให้หมดสิ้น ด้านสุนทร แพงไพรี ผู้ถูกกล่าวหาปฏิเสธไม่เป็นความจริง

                เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ของวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา นายสนั่น ปริสาวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๔ ตำบลหนองหัวแรด อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา พร้อมภรรยา น.ส.วาริน ณะศิริ ได้เข้าร้องเรียนและติดตามเรื่องขอความคุ้มครองจากกระทรวงยุติธรรม ที่ตนเคยได้ยื่นเรื่องไปแล้ว เนื่องจากถูกผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นรังแก ข่มขู่ ซึ่งกลุ่มผู้มีอิทธิพลตามที่นายสนั่น ปริสาวงส์ กล่าวถึงนำโดย นายณรงค์ เลิศกิ่ง อดีตกำนันตำบลไชยมงคล

                นายสนั่น ปริสาวงศ์ เปิดเผยว่า เดิมตนเป็นคนจังหวัดสุโขทัย แต่มีเมียอยู่โคราช จึงได้ย้ายมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๑ และต่อมานายณรงค์ เลิศกิ่ง ได้ชักชวนให้ตนมาทำงานด้วย โดยให้ช่วยซ่อมรถเสียที่ไปลากมาจากที่ต่างๆ บ้างก็ให้ทำไร่ ทำสวนโดยเหมาจ่ายเป็นครั้งประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ บาท ต่อมาอดีตกำนันได้ให้ตนมาปลูกบ้านอยู่ตรงที่ว่างเปล่าซึ่งเป็นป่า โดยอดีตกำนันได้ตกลงแบ่งที่กับตน และต่อมาตนได้ซื้อที่ในราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๑๐ ไร่ กับอดีตกำนัน ซึ่งที่ดังกล่าวตนได้ถางป่าเพื่อสร้างบ้านและปลูกข้าว ปลูกมะนาว มาประมาณ ๑๐ กว่าปีแล้ว

                เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับครอบครัวนายสนั่น โดยนายณรงค์ เลิศกิ่ง อดีตกำนัน พร้อมนายทัด เลิศกิ่ง, นายอัฐพล ล้ำเลิก หรือนายโทน และนายสุนทร แพงไพรี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว ส.สุนทร และเป็นที่ปรึกษา นายกอบต.บ้านใหม่ และลูกน้องอีก ๔ คน ได้ขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ เลขทะเบียน ขจ ๒๓๗๕ นครราชสีมา พร้อมรถสีดำอีกหนึ่งคันแต่ไม่ทราบเลขทะเบียน ได้เข้ามาบ้านพักนายสั่นนและมาข่มขู่ตนและภรรยา ให้ตนออกจากที่แปลงนี้ภายใน ๕ วัน ซึ่งตนและครอบครัวไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เพราะอยู่กินมาเป็น ๑๐ ปี และลูกทั้งสองก็ยังเล็ก โดยคนโตอายุ ๗ ปี คนเล็ก ๓ ปี และเรียนหนังสืออยู่แถวหมู่บ้าน ตนจึงไม่ได้ย้ายออกตามคำข่มขู่

                จากนั้นเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ ได้มีรถคันเดิมมาจอดที่หน้าบ้านตนอีก และนายโทนชักปืนออกมายิงขู่ที่หน้าบ้านตน ๑ นัด และได้กราดยิงเข้าไปในบ้านอีกประมาณ ๖ นัด ซึ่งขณะนั้นมี น.ส.เพียรใจ บุญชู เพื่อนบ้านตนกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน นายโทนได้เดินเข้าไปและใช้เท้าเตะถาดซึ่งใช้วางกับข้าว ซึ่งนายโทนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมียตน และจะใช้ปืนยิงนางสาวเพียรใจ แต่มีเสียงคนที่มาด้วยบอกว่า “อย่ายิงพี่คนนี้ไม่ใช่เมียไอ้หนั่น” ซึ่งช่วงนั้นภรรยาตนได้ออกไปซื้อกับข้าวกับลูกทั้งสอง และพอกลับถึงบ้านนายโทนก็ได้เดินมายัง น.ส.วาริน ที่กำลังจะจอดมอเตอร์ไซค์ และมีลูก ๒ คนซ้อนท้าย นายโทนได้ตบหน้าน.ส.วาริน ๑ ครั้ง และเอาปืนจ่อจะยิง แต่ลูกน้องนายโทนห้ามไว้ และนำปืนไปเก็บในรถ จากนั้นนายโทนก็เดินมาผลักน.ส.วาริน ล้มลงพร้อมรถมอเตอร์ไซค์ และลูกทั้ง ๒ นายโทนได้กระชากผมน.ส.วาริน พร้อมตะโกนถามว่า “ไอ้หนั่นอยู่ไหน” ซึ่งน.ส.วารินก็ไม่รู้ว่าสามีไปไหน หลังจากนายโทนเดินออกไปข้างนอก น.ส.วารินจึงรีบโทรหาตำรวจ สน.โพธิ์กลาง หลังจากโทรแจ้งตำรวจ นายโทนบอกว่า “กูไม่กลัวหรอก เดี๋ยวกูโทรหานายใหญ่กู” และได้ขับรถออกไปกับพรรคพวก

ตำรวจช่วยไม่ได้

                หลังจากตำรวจมาตรวจเหตุการณ์ที่บ้านนายสนั่น กลุ่มนายโทนก็ได้ขับรถคันเดิมกลับมาอีก และทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกหลักฐานถ่ายรูป และได้เก็บปลอกกระสุนไว้ ๓ ปลอก บริเวณหน้าบ้าน แต่บริเวณภายในบ้านหาไม่พบ สันนิษฐานว่าคงกระเด็นตกสระน้ำ นายสนั่นยังได้เผยอีกว่า ตำรวจได้ถามนายโทนว่า นำปืนไปเก็บไว้ไหน นายโทนตอบว่าเอาไปเก็บไว้แล้ว ตำรวจก็เฉยและไม่ได้ถามอะไรต่อ และทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้ทางผู้เสียหาย และโจทก์ไปคุยที่สถานีโพธิ์กลาง ซึ่งขณะนั้นนายโทนก็ยังมาขู่ น.ส.วาริน อีกว่า ถ้าตนติดคุกจะฆ่าทุกคนในครอบครัวของน.ส.วาริน

                ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายสนั่นออกไปทำธุระข้างนอก และภรรยาได้โทรไปเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง จึงได้รีบมาสถานีโพธิ์กลาง เมื่อไปถึงก็ได้พบนายโทนกับพรรคพวกเดินเข้ามากระชากคอเสื้อ พยายามจะทำร้าย นายสนั่นได้พูดไปว่า “นี่ขนาดอยู่ในโรงพักผมยังไม่มีความปลอดภัย ผมจะไปพึ่งใครได้ทั้งๆ ที่ตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ตั้งหลายนาย แต่ไม่ห้ามปรามนายโทนสักนาย”

                ซึ่งทางพนักงานสอบสวนที่ได้รับเรื่อง ณ ตอนนั้น คือ พ.ต.ท.ประยุทธ แพปรุ ได้แจ้งกับนายสนั่นว่า ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นเสีย คดีที่แจ้งมานั้นไม่มีหลักฐานเพียงพอจะเอาผิดกับนายโทนและผู้สั่งการได้ ได้แต่เพียงลงบันทึกประจำวันไว้ สิ้นสุดจากสถานีโพธิ์กลาง นายสนั่นได้ทราบจากเพื่อนบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ ว่าถูกขู่ไม่ให้มาเป็นพยานให้กับตน นายสนั่นเกิดวิตกเป็นอย่างมาก เกรงว่าตำรวจจะไม่สามารถช่วยอะไรได้

โร่แจ้งศูนย์ดำรงธรรม

                นายสนั่น และภรรยาจึงได้ไปแจ้งยังศูนย์ดำรงธรรม ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนและครอบครัว ทางศูนย์ดำรงธรรมแนะนำให้นายสนั่นไปแจ้งความใหม่ เพราะถือเป็นคดีอาญา หากนายตำรวจคนไหนไม่รับแจ้ง ให้ดูป้ายชื่อและแจ้งมายังศูนย์ฯ จากนั้นนายสนั่นจึงได้กลับไปแจ้งความและ แจ้งความกับร้อยเวรคนเดิม คือ พ.ต.ท.ประยุทธ แพปรุ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้รับคดีไป เวลาผ่านไป ๒๐ วัน นายสนั่นได้กลับไปสอบถามคดีของตนว่าไปถึงไหน ซึ่งตำรวจได้ตอบว่า จับกุมตัวผู้ต้องหาแล้วและทางผู้ต้องหาก็ได้ประกันตัวออกไปแล้ว ขณะนี้เรื่องอยู่ที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ภายหลังศาลนัดไปสืบพยานในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐

                โดยศาลได้ตัดสินว่า ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งการที่ศาลตัดสินเช่นนี้ นายสนั่นเองก็แปลกใจ ทั้งๆ ที่ตนถูกขู่ฆ่า และนายสนั่นสงสัยถึงการเขียนสำนวนของพนักงานสอบสวนถึงศาล เป็นการทำสำนวนอ่อน ทำให้ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม

มาเฟียรื้อบ้าน

                นายสนั่น เผยว่า นายโทนเป็นลูกของนายณรงค์ อดีตกำนันผู้มีอิทธิพล และหลังจากนั้นไม่กี่วัน นายสุนทร แพงไพรี และพรรคพวกได้นำรถแม็คโครมารื้อบ้าน และสวนมะนาววงบ่อที่ปลูกไว้ ๒๐๐ ต้น และทำรั้วล้อมรอบบริเวณบ้านนายสนั่นไว้ ซึ่งนายสุนทร แพงไพรี ได้บอกกับนายสนั่นว่า ที่ตรงนี้ตนซื้อมาจากนายณรงค์ ๒๐๐ ไร่ เสียเงินไป ๑๐ ล้าน ซึ่งทางนายสนั่นก็ได้ตอบกลับไปว่า นั่นเป็นเรื่องของคุณ ที่ตรงนี้ไม่ใช่ของนายณรงค์ เพราะตนก็ได้ซื้อที่จากนายณรงค์เช่นกัน

                หลังจากวันนั้นชายกลุ่มเดิมได้กลับมารื้ออาคารที่นายสนั่นจัดเป็นที่ประชุมเกษตรกร รวมถึงข้าวของทุกอย่างกระจัดกระจายหมด นายสนั่นจึงได้โทรไปแจ้งตำรวจ คนเหล่านั้นจึงได้วิ่งหลบหนีไป ซึ่งช่วงนั้นนายสุนทร แพงไพรี ได้พยายามโทรมาเจรจากับนายสนั่น เพื่อต่อรองจะชดใช้ค่าเสียหายที่ได้รื้อบ้าน ว่าจะชดใช้ให้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้ถอนแจ้งความ และไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากตนไม่ยอมจะใส่ร้ายว่าเป็นพ่อค้ายาบ้า และมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง ซึ่งนายสนั่นเองก็ไม่กลัวคำขู่เพราะตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายอย่างว่า

                ทุกวันนี้นายสนั่นและครอบครัวต้องหนีไปอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ต้องคอยหลบหนีอดีตกำนัน และลูกน้อง ลูกอีก ๒ คนก็ต้องย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนอื่น สาเหตุที่นายณรงค์ไม่พอใจนายสนั่นและครอบครัว เกิดเป็นปัญหากันถึงทุกวันนี้เนื่องจาก นายสนั่นรู้จักกับนายณรงค์ มาเป็นเวลาหลายปี และรู้เรื่องราวที่นายณรงค์ได้ทำความผิดมากมาย โดยวิธีของนายณรงค์ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของรถและที่ดินและคดีอื่นมากมาย

สุนทรแย้งไม่เป็นความจริง

                เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ “โคราช คนอีสาน” ได้สอบถามไปยังนายสุนทร แพงไพรี ที่ปรึกษา อบต.บ้านใหม่ ผู้ถูกกล่าวหา ได้ชี้แจงว่า “ข้อเท็จจริงนั้น นายสนั่นไม่ใช่คนในพื้นที่ เป็นคนเร่ร่อน พื้นเพมาจากสุโขทัย และได้รับคำชักชวนจากกำนันณรงค์ให้มาทำงาน เป็นลูกน้องถางไร่ ถางนาให้กับกำนัน ส่วนเรื่องที่นายสนั่นอ้างว่าเคยเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้าน และซื้อที่ดินมาจากกำนันนั้น เป็นเรื่องโกหก ถ้าให้พูดตรงๆ แล้ว นายสนั่นไม่มีเงินที่จะซื้อที่ของกำนันหรอก เป็นเหมือนพวก ๑๘ มงกุฎ ที่รวบรวมชาวบ้านมาเรียกร้องที่ดิน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ที่ของเขา”

ยันไม่ได้รื้อบ้าน

                “โคราช คนอีสาน” สอบถามอีกว่า เรื่องที่นายสนั่นกล่าวหาว่า นายสุนทรได้พาพวกไปทำการรื้อบ้าน และทำร้ายครอบครัวตน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสุนทรได้ให้คำตอบว่า “เรื่องที่เกิดเป็นคดีความทำร้ายร่างกายนั้น ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งนายโทนลูกกำนันที่เป็นคนก่อเหตุ ก็ได้ถูกดำเนินคดี และตอนนี้อยู่ในระหว่างประกันตัว เรื่องอยู่ชั้นศาล และขอยืนยันว่า ตนไม่ได้สั่งให้รื้อทรัพย์สินของนายสนั่น แต่ลูกน้องของกำนันเป็นผู้รื้อ เพราะไม้ที่ใช้ก่อสร้างเป็นไม้ของกำนันที่ให้นายสนั่นไว้ ตนยังเป็นคนขอกำนันให้คืนไม้ให้กับนายสนั่นเองอยู่เลย”

ซื้อที่มาถูกต้อง

                นายสุนทร แพงไพรี เผยอีกว่า ตนได้ซื้อที่มาจากกำนันณรงค์ อย่างถูกต้องและมีเอกสารครบถ้วน เป็นเงินจำนวน ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๓๑ ไร่ ส่วนเรื่องที่กำนันขายที่ซ้ำซ้อนนั้น ตนไม่รู้เรื่อง ซึ่งทางตนเองยังได้บอกกับนายสนั่นเองว่า ของที่ไม่ใช่ของเรา ลาภที่ได้มาโดยมิชอบก็อย่าไปเอาเลย พร้อมได้ให้เงินกับสนั่นไปจำนวน ๕,๐๐๐ บาท เพราะความสงสาร แต่ไม่เคยพูดว่าให้ไปถอนแจ้งความ หรือจะใส่ร้ายนายสนั่นตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

 

ติดตามข่าวโดยละเอียดจาก นสพ.โคราชคนอีสาน ฉบับวันที่ ๒๖ พ.ค. ๖๐


712 1,354