28thMarch

28thMarch

28thMarch

 

August 01,2018

ครึ่งปี‘โตโยต้า’ขาย ๑๔๑,๙๘๙ คัน คาดยอดรวมทั้งปี ๙๘๐,๐๐๐ คัน

              “โตโยต้า” แถลงยอดขายครึ่งปี ๒๕๖๑ พร้อมปรับประมาณการตลาดรถยนต์ไทยทุกแบรนด์ปี ๒๕๖๑ แค่ครึ่งปีแรก ๔๘๙,๑๑๘ คัน ส่วนของ “โตโยต้า” ๑๔๑,๙๘๙ คัน เพิ่มขึ้น ๒๖.๒% รถยนต์นั่ง ๕๓,๕๑๒ คัน รถเพื่อการพาณิชย์ ๘๘,๔๗๗ คัน และรถกระบะ ๑ ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ๗๖,๗๕๘ คัน

              มร.มิจิโนบุ ซึงาตะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ ครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ พร้อมปรับประมาณการตลาดรถยนต์ไทยปี ๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ ห้องบอลรูม โรงแรมโอกุระ กรุงเทพฯ โดยกล่าวว่า

              “เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาโตโยต้าได้ฉลองยอดการผลิตครบ ๑๐ ล้านคัน ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านอีกครั้ง ที่มีส่วนร่วมทำให้ผลิตภัณฑ์โตโยต้าเป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า และในวันนี้ผมขอแจ้งผลตลาดรถยนต์ในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๑ มียอดขายรวมอยู่ที่ ๔๘๙,๑๑๘ คัน เพิ่มขึ้น ๑๙.๓% ขอขอบคุณภาครัฐสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในครึ่งปีแรกเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว” 

              สถิติการขายรถยนต์ ครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ โดยโตโยต้ามียอดขาย ๑๔๑,๙๘๙ คัน เพิ่มขึ้น ๒๖.๒% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง ๕๓,๕๑๒ คัน เพิ่มขึ้น ๑๘.๕% รถเพื่อการพาณิชย์ ๘๘,๔๗๗ คัน เพิ่มขึ้น ๓๑.๔% และรถกระบะ ๑ ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์ ๗๖,๗๕๘ คัน เพิ่มขึ้น ๒๑.๖%

              มร.ซึงาตะ กล่าวว่า “สำหรับยอดขายโตโยต้าในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ ๑๔๑,๙๘๙ คัน เพิ่มขึ้น ๒๖.๒% มีปัจจัยหลักมาจากกระแสการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาถึงต้นปีนี้ อาทิ Yaris, Yaris ATIV, Hilux Revo ROCCO และ C-HR สำหรับการส่งออกในครึ่งปีแรก โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน ๑๔๕,๐๘๐ คัน เพิ่มขึ้น ๗% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าสถานการณ์การส่งออกในตลาดตะวันออกกลางมีการปรับลดลง ขณะเดียวกันการส่งออกไปยังตลาดเอเชียและโอเชียเนีย มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ซึ่งเราได้เริ่มต้นทำการส่งออกรถกระบะไฮลักซ์ไปยังประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าญี่ปุ่น ทำให้มียอดส่งออกสะสมถึงมิถุนายนปีนี้ รวมแล้วทั้งสิ้น ๕,๔๐๐ คัน ทั้งนี้ในครึ่งปีแรกการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปคิดเป็นมูลค่า ๗๔,๒๕๐ ล้านบาท และมีการส่งออกชิ้นส่วนมูลค่า ๒๙,๘๗๕ ล้านบาท รวมมูลค่าการส่งออกที่ ๑๐๔,๑๒๕ ล้านบาท และในส่วนของเป้าหมายการส่งออกในปี ๒๕๖๑ นั้น เราคาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกของโตโยต้ายังคงอยู่ที่ ๓๐๐,๐๐๐ คัน ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา”

              สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์ของปี ๒๕๖๑ มร.ซึงาตะ คาดการณ์ว่า “จากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ ๔.๔% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลาย รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่างๆ จากค่ายรถยนต์ถือเป็นปัจจัยหลักในการ   กระตุ้นตลาดรถยนต์ โดยคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์โดยรวมในประเทศปี ๒๕๖๑ จะปรับจาก ๙๐๐,๐๐๐ คัน เป็น ๙๘๐,๐๐๐ คัน เพิ่มขึ้น ๑๒.๔% จากปีที่แล้ว”

              มร.ซึงาตะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เนื่องจากตลาดรวมที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงปรับเป้าหมายการขายของโตโยต้าสำหรับตลาดในประเทศจาก ๓๐๐,๐๐๐ คัน เป็น ๓๑๕,๐๐๐ คัน เพิ่มขึ้น ๓๑.๒% จากปีที่แล้ว ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เราจะสร้างความแข็งแกร่งด้วยการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ ผ่าน “ALIVE SPACE” โชว์รูมรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัย ตอบรับกับ ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทางการตลาดอีกมากมายที่เตรียมไว้ เพื่อแสดงความขอบคุณลูกค้าของเราในโอกาสฉลองความสำเร็จยอดการผลิตครบ ๑๐ ล้านคัน ซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นและไว้วางใจผลิตภัณฑ์โตโยต้าของลูกค้าทุกคน”

              “นอกจากเป้าหมายทางด้านธุรกิจที่โตโยต้ามุ่งมั่นสร้างสรรค์ยนตรกรรมแห่งการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า (ever-better mobility) เรายังมีความตั้งใจที่จะดำเนินงานเพื่อสังคมให้ดียิ่งขึ้น (ever-better society) ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม อย่างโครงการที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยบนท้องถนน โตโยต้า ถนนสีขาว ครบรอบ ๓๐ ปี ซึ่งมีแนวคิด “มุ่งเน้นการสร้างสังคมคนขับรถดี” โดยเน้นการพัฒนาทักษะการขับรถด้วยการจัดตั้งศูนย์พัฒนาศักยภาพผู้ขับขี่รถยนต์โตโยต้าที่ Toyota Driving Experience Park เพื่อสร้างสังคมผู้ขับขี่ที่ดี นอกจากนี้ยังได้พัฒนา ปรับปรุงถนนต้นแบบโดยการปรับลดจุดเสี่ยง เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์บริเวณหน้าโรงงานโตโยต้าบ้านโพธิ์และเกตเวย์ เพื่อตอบรับกับ “พันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมของโตโยต้า พ.ศ.๒๕๙๓” โดยหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดคือการลด CO2 ให้เป็นศูนย์ เรายังได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการ “โตโยต้า เมืองสีเขียว” เริ่มต้นจากภายในโรงงาน เราใช้พลังงานทดแทนและระบบการจัดการของเสียที่ได้มาตรฐานระดับโลก อีกทั้งยังส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่โรงงานบ้านโพธิ์ ซึ่งถือเป็นโรงงานที่มีระบบนิเวศแห่งความยั่งยืนแห่งแรกของโตโยต้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” มร.ซึงาตะ กล่าว

              มร.ซึงาตะ กล่าวต่อไปว่า ยิ่งไปกว่านั้นเรายังส่งเสริมความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นผ่านกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมภายนอกโรงงาน เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่สังคมไทยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมลดเมืองร้อนด้วยมือเรา กิจกรรมปลูกป่าชายเลนและกิจกรรมปลูกป่านิเวศ ตลอดทั้งโครงการ “โตโยต้าเมืองสีเขียว อยุธยา” ศูนย์การเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมนอกโรงงานแห่งแรกที่จะเปิดในเดือนพฤศจิกายนนี้ และหนึ่งในองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม คือ การเดินทางอย่างยั่งยืน (Sustainable Transportation) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเชื่อมโยงกับสถานที่ท่องเที่ยวของอยุธยาด้วยรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก HA:MO

              “ทั้งหมดนี้คือความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบยนตรกรรมแห่งการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า (ever-better mobility) ให้กับคนไทยผ่านทางผลิตภัณฑ์และการบริการของเรา ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าที่ว่า “เราจะเติบโตควบคู่ไปกับสังคมไทย” มร.ซึงาตะ กล่าวในที่สุด

 

 

 

 

 

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๔ ฉบับที่ ๒๕๑๘ วันพุธที่ ๑ - วันอาทิตย์ที่ ๕ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑

 

705 1354