28thMarch

28thMarch

28thMarch

 

June 01,2019

ผอ.ปปช.แจ้งจับนักข่าว อ้างชื่อรีดเงินล้านอบต.

        ผอ.ป.ป.ช.ศรีสะเกษโร่แจ้งจับนักข่าว  ถูกอ้างชื่อรีดเงินผู้บริหาร อบต.ร่วม ๒ ล้าน เพื่อยุติการไต่สวนกรณีทุจริตต่อหน้าที่ ตำรวจตั้งข้อหาหนักเรียกสินบนให้เจ้าพนักงาน โทษคุก ๕ ปี เผยหากหลบหนีตามตัวไม่ได้ พร้อมตั้งค่าหัวรางวัลนำจับ

        เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ อ.เมืองศรีสะเกษ นายชาญชัย พลศรี ผู้อำนวยการ สำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เข้าพบ พ.ต.อ.ศุภชัย ศักรินพานิชกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ และ พ.ต.อ.เสรี ภูษาชีวะ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาต่อ นาย ป. (นามสมมติ) ผู้สื่อข่าวพิเศษประจำจังหวัดศรีสะเกษของหนังสือพิมพ์สำนักใหญ่ในระดับชาติฉบับหนึ่ง เนื่องจากมีการแอบอ้างชื่อไปเรียกรับเงินจากผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แห่งหนึ่งในเขต อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งรอง ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.เสรี ภูษาชีวะ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ เจ้าของพื้นที่ที่เกิดเหตุรับแจ้งความร้องทุกข์ไว้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

        โดยเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ นายชาญชัย พลศรี ผู้อำนวยการ สำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยกับ “โคราชคนอีสาน” ว่า ย้อนไปตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ ได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหาว่า นาง ว.ปลัด อบต.แห่งหนึ่ง รักษาราชการแทน นายก อบต. กับพวก รวม ๒ คน ได้ถูกร้องเรียนว่า กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เบิกจ่ายเงินตามโครงการปรับปรุงถนนในเขตพื้นที่ อบต.แห่งหนึ่งในเขต อ.ศรีรัตนะ จำนวน ๒๗ โครงการ ซึ่ง ป.ป.ช.ประจำจังหวัดศรีสะเกษได้แสวงหาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า กรณีมีมูล จึงเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อทำการไต่สวน โดยมีตนเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

        “หลังจากที่เริ่มมีการไต่สวน ทางผู้ถูกกล่าวหาเริ่มไหวตัวทัน จึงได้หาแนวทางเพื่อที่จะจบคดีดังกล่าว โดยได้สอบถามผู้ที่พอช่วยเหลือได้ จึงเป็นเหตุให้นาย ป.แสดงตัวอ้างกับผู้บริหาร อบต.ว่า จะสามารถช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการถูกตั้งกรรมการสอบสวนได้ โดยอ้างว่าเป็นคนสนิทของผอ.ชาญชัย เป็นที่ไว้วางใจ และผอ.ให้ตนดูแลเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง”

        นายชาญชัย เผยอีกว่า “หลังจากที่นาย ป.แอบอ้างเป็นคนใกล้ชิดตน และบอกว่าสามารถช่วยให้การไต่สวนนั้นสิ้นสุดลงได้ ทางผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ จึงเชื่อ และยอมจ่ายเงิน โดย นาย ป.ได้เรียกรับเงินจากผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ คน ในชั้นแสวงหาข้อเท็จจริงคนละ ๖๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยอ้างว่าจะนำเงินมาให้แก่ตนเพื่อให้ตนสั่งยุติเรื่อง” 

        ต่อมาคณะอนุกรรมการไต่สวนได้แจ้งคำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ ๑๗๕๖/๒๕๖๐ ลว. ๒๙ ธ.ค. ๖๐ ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ รายทราบ ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองรายสอบถามไปยังนาย ป.ว่า ทำไมเรื่องถึงยังไม่จบ ทำให้นาย ป.นักข่าวหนังสือพิมพ์ส่วนกลางพลิกสถานการณ์ โดยอ้างว่า ผอ.เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรุนแรงและค่อนข้างหนัก จึงขอเรียกเงินจากบุคคลทั้ง ๒ เพิ่มอีกคนละ ๓๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่ง นาง ว.ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๑ ได้จ่ายเงินให้กับนาย ป.เพิ่มอีกจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท แต่ว่า นาง ช.ผู้ถูกกล่าวหาที่ ๒ ยังไม่ได้จ่ายเงินให้ เนื่องจากไม่สามารถหาเงินได้ทัน

        ทั้งนี้ นาย ป.ได้จัดทำคำชี้แจงให้กับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ ราย จำนวน ๒ แผ่น โดยในแผ่นที่ ๑ เป็นการคัดลอกบันทึกการรับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด จะมีคำชี้แจงอยู่ในแผ่นที่ ๒ ประมาณ ๑๐ บรรทัด ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ รายเห็นว่า คำชี้แจงข้อกล่าวหาไม่ตรงกับประเด็นข้อกล่าวหา จึงยังไม่ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหา แต่ว่าได้มายื่นเรื่องขอขยายระยะเวลาการชี้แจงข้อกล่าวหา และไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้นาย ป.ทราบแต่อย่างใด

        ต่อมาภรรยาของนาย ป.ได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ ทราบว่า “คุณ ป.ฝากมาบอกว่า ผอ.ชาญชัยพอใจในคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นอย่างมาก” ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๒ ทราบว่าถูกหลอก เพราะยังไม่ได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแต่อย่างใด หลังจากที่ทราบแน่ชัดแล้วว่าถูกนาย ป.หลอกรีดไถเงิน ผู้ถูกกล่าวหาจึงมาพบนายชาญชัยในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เพื่อมาแจ้งให้ตนทราบ และเผยว่า นาย ป.มักกล่าวหาตนบ่อยๆ ว่า มีนิสัยชอบเรียกรับเงิน ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ซึ่ง นายชาญชัย เล่าว่า ก่อนหน้านี้เวลาที่ลงพื้นที่เคยได้ยินมาบ้างว่า มีการแอบอ้างชื่อของตนเพื่อรีดไถ วิ่งเต้นเรียกเก็บเงิน แต่ได้มีการยืนยันความบริสุทธิ์ทุกครั้งว่าไม่มีการกระทำเช่นนี้ และเมื่อตนคิดจะเอาผิดจริงจัง ก็ไม่มีผู้ที่ยืนยันยอมเป็นพยาน หรือแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม แต่กรณีนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ตนจึงเข้าแจ้งความดำเนินคดี และขอความร่วมมือกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเพื่อเป็นพยาน

        นายชาญชัย กล่าวว่า ไม่เคยรู้จักคุ้นเคยกับ นาย ป.นักข่าวคนนี้แต่อย่างใด ตนรับราชการมานาน ๔๐ ปี ประวัติการรับราชการไม่เคยด่างพร้อย ไม่เคยต้องโทษอาญาหรือวินัยแต่อย่างใด การที่นาย ป.ไปแอบอ้างชื่อตนไปเรียกรับเงินสินบน ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้ตนได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักงาน ป.ป.ช.โดยตรง ดังนั้น จึงต้องแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อ นาย ป.จนถึงที่สุดต่อไป และในกรณีนี้มีเพียงพยานบุคคลเพื่อยืนยันเรื่องดังกล่าว ซึ่งการจ่ายเงินให้กับนาย ป.เป็นการจ่ายแบบเงินสด ไม่มีภาพถ่าย หรือเอกสารยืนยัน มีเพียงเอกสารการกู้เงิน และเอารถเข้าไฟแนนซ์ของทางพยาน เพื่อนำเงินมาให้กับนาย ป.เท่านั้น อยู่ที่ว่าทางศาลจะพิจารณาอย่างไร และจะเชื่อหรือไม่

        นายชาญชัย กล่าวอีกว่า หลังจากที่มีการเสนอข่าวออกไป ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากทางนักข่าวคนนั้น และมีกระแสมาว่า หลังจากมีการนำเสนอข่าว นาย ป.ผู้สื่อข่าวส่วนกลางจากสำนักข่าวใหญ่ที่นำชื่อไปแอบอ้างได้หลบหนีแล้ว ไม่ทราบว่าหนีเพื่อไปตั้งหลัก หรือด้วยเหตุผลใด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง และไม่สามารถตามตัวได้ อาจมีการตั้งค่าหัวเพื่อนำจับต่อไป ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมิได้นัดหมายเพื่อเรียกสอบปากคำกับตนเพิ่มเติม เนื่องจากเพิ่งมีการแจ้งความไปช่วงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ซึ่งให้เป็นเรื่องของกระบวนทางกฎหมายโดยตรงต่อไป

        ทางด้าน พ.ต.อ.เสรี ภูษาชีวะ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า เรื่องนี้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษได้รับแจ้งความไว้แล้ว โดยเบื้องต้นได้ตั้งข้อหาว่า เรียกสินบนให้เจ้าพนักงาน มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจะได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จากนั้นจะได้ออกหมายเรียก นาย ป. มารับทราบข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายตามกฎหมายอย่างเต็มที่

 

 

 ปีที่ ๔๔ ฉบับที่ ๒๕๗๕ วันเสาร์ที่ ๑-วันพุธที่ ๕ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒

 

789 1426