18thApril

18thApril

18thApril

 

May 02,2023

“ดร.โช” โชติมา ชุบชูวงศ์ ผู้สร้างสรรค์ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค แห่งไร่โชตวัน

 

 

ในสังคมโลกปัจจุบัน หลายคนโหยหาหรือปรารถนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นออร์แกนิคมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ของผู้รักสุขภาพทั้งหลาย ซึ่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของ “ไร่โชตวัน” ก็ตอบโจทย์ เรามีโอกาสได้รู้จักและกดเป็นเพื่อนกับ “พี่โช” หรือ “ดร.โช” โชติมา ชุบชูวงศ์ แห่งไร่โชตวัน ผ่านเฟซบุ๊ก เห็น Alovera หรือเจ้าว่านหางจระเข้ก้านใหญ่ๆ อวบๆ, เสาวรส, อโวคาโด ที่นำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มแสนอร่อย หรือจะทานผลสดแสนอร่อยอย่างอโวคาโด นอกจากนี้ ยังมีไม้ประดับ และไม้ผลนานาชนิด ที่พี่โชนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ด้วยแพคเกจหรูดูดีน่าหยิบจับมาใช้

กระทั่งวันหนึ่งได้รับเชิญไปร่วมภารกิจที่ปากช่อง และ “พี่โช” ก็นำผลิตภัณฑ์มาวางจำหน่าย จึงถือโอกาสพูดคุยเพื่อทำความรู้จักอย่างที่เคยตั้งใจ 

“ดร.โช” โชติมา ชุบชูวงศ์

• จุดเริ่มต้น

“พี่โช” บอกว่า ไร่โชตวันอยู่ที่ตำบลกลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จุดเด่นของไร่คือจะอยู่ตรงสถานีรถไฟปางอโศก จุดเริ่มต้นของโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอนาคต ไร่โชตวันมีพื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ปลูกว่านหางจระเข้ ๕๐% นอกจากนั้นก็จะมีอโวคาโดพันธุ์พิเศษซึ่งปลูกไม่มาก เน้นเป็นต้นพันธุ์ที่อร่อยมากๆ อร่อยจนมีการจองกันข้ามปี มีแต่คนอยากทาน รสชาติดีมากไม่แพ้พันธุ์ต่างประเทศ และใช้อโวคาโดในการทำโปรดักส์สินค้า ใช้น้ำมันอโวคาโดที่ถือเป็นเอ็กคลูซีฟเฉพาะไร่ของเรา นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงกุหลาบ ไม้ดอกไม้ประดับมากมาย และพืชแปลกๆ หายาก เช่น สมอพิเภก ทุเรียนที่อร่อยมากๆ ใบย่านาง ใบเตย มีทุกอย่างที่เราใช้ทำผลิตภัณฑ์ ทุกวันนี้ยังเป็นสวนปิด จะเปิดให้ชมเฉพาะลูกค้าของเราและกลุ่มสื่อมวลชนที่รู้จักกัน

ก่อนที่ “พี่โช” จะเข้าสู่เส้นทางการทำเกษตรนั้น ตลอด ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมาทำงานด้านการตลาดในบริษัทต่างๆ ที่กรุงเทพฯ ทั้งเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้    คำปรึกษาด้านการตลาด งานขาย โดยไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตรเลย แต่เมื่อ ๔-๕ ปีที่แล้วก็ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตที่บ้าน เพราะไม่อยากรอจนถึงวันเกษียณ ต้องการทำงานประจำแค่ถึงอายุ ๔๐ กว่าๆ ก็ลาออกมา เพราะยังมีแรง จะได้ลงมือทำงานของเราได้เลย ไม่ต้องรอ

 

• รายได้และอิสรภาพ

“จากนั้นก็คิดว่า ทำอย่างไรจะมีรายได้เท่ากับตอนที่เราทำงานที่กรุงเทพฯ โดยสิ่งที่ได้ตามมาคืออิสรภาพในการทำงาน เป็นสิ่งสำคัญมากๆ และยังได้รับอากาศดีดี อารมณ์ที่ดี อาหารที่ดี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดีในวัยเกษียณ จากนั้นก็ลาออกมาอยู่ที่บ้าน มาแบบไม่มีความรู้เลย”

พี่โช บอกว่า “อยากให้กำลังใจคนที่ไม่มีความรู้ว่า อย่ากลัว ถือเป็นสิ่งที่ดีจะได้มาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผิดถูกก็เรียนรู้กันไป ใช้ความรู้เก่าหรือประสบการณ์เดิมในการวิเคราะห์ตัดสินใจ มาทำเกษตรดู ทุกอาชีพทำได้หมด ไม่จำเป็นต้องรู้มาก่อน”

จากนั้น “พี่โช” ก็เริ่มโดยการนำว่านหางจระเข้มาปลูก แรกๆ ก็ปลูกเพื่อให้คุณแม่ทาน เพราะคุณแม่เป็นมะเร็ง มีคนบอกว่าทานแล้วดี จึงศึกษาพบว่าดี แล้วก็ปลูกทาน และก็เริ่มปรุงรสชาติ ซึ่งผู้ป่วยจะไม่ค่อยทานอะไรซ้ำซาก จะทำให้เบื่อ ยิ่งทานของยากก็ยิ่งยากไปใหญ่ ก็เลยเริ่มนำเสาวรสที่ปลูกไว้มาผสม กลายเป็นน้ำเสาวรสผสมว่านหางจระเข้ ไม่ใส่น้ำตาล เพราะคนเป็นมะเร็งทานไม่ได้ แต่จะใส่น้ำผึ้งแทน รสชาติอร่อย ทำให้คุณแม่ทาน เมื่อมีเยอะขึ้นก็ถวายพระซึ่งเป็นกิจวัตรประจำของที่บ้านอยู่แล้ว จากนั้นก็ให้เพื่อน ให้คนรู้จัก บอกต่อๆ กัน และวางขาย เริ่มเป็นที่รู้จัก และรู้ว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำน้ำเสาวรสผสมว่านฯ และตั้งชื่อว่า “ว่านเสาวรส” จากนั้นก็ทำขายทั่วไปสำหรับคนที่ชอบทาน มีคนที่่กรุงเทพฯ มาซื้อ มีคนนำไปจำหน่ายต่อ กลายเป็นที่รู้จัก นี่เป็นจุดเริ่มต้นของสินค้า

• คุณภาพที่(ต้อง)บอกต่อ

“พี่โช” บอกอีกว่า หลังจากนั้น เราเริ่มคิดว่า เราควรจะโฟกัสอะไรในไร่ของเรา จึงเลือกว่านหางจระเข้ เพราะเรามีความชำนาญ รู้จักมันดี เราจับเนื้อมันทุกวัน ทำให้ผิวเราดี ทำให้ผิวหน้าเราดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ทั้งประหยัดและดี ก็เริ่มทำเป็นสเปรย์ว่านหางจระเข้ ฉีดใบหน้าเรา เมื่อตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็เข้าแต่คลินิกเสริมความงาม ทำนู่นนี่และฉีดโบทอกซ์ ทำเลเซอร์ แต่ตอนนี้เราอยากมีรายได้เหมือนเดิมก็ต้องลดค่าใช้จ่าย จึงเริ่มทำผลิตภัณฑ์และนำมาใช้เอง ใช้เพื่อป้องกันแสงแดด เมื่อใช้ดีมาก ช่วยลดความร้อนได้ดี กลายเป็นว่า เพื่อนก็ทักว่าผิวหน้าดี มีเพื่อนเป็นนักกอล์ฟก็เอาไปให้นักกอล์ฟใช้ ซึ่งไม่อยากจะใช้ครีมกันแดด ก็ฉีดสเปรย์นี้เพื่อคูลดาวน์ผิว จากนั้นก็แพร่หลายมากขึ้น เริ่มจากคนรู้จักและกลายเป็นที่นิยม

 

• พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง

“พี่โช” เล่าต่อไปว่า นอกจากนั้น ก็เริ่มทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยใช้ว่านหางจระเข้ตามมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแชมพู สบู่ ยาสระผม เจลอาบน้ำ เป็นต้น แต่ว่าเราไม่ได้ทำแบบเบสิก เนื่องจากเมื่อก่อนเราก็อยู่ในวงการเครื่องสำอาง น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกต่างประเทศ จึงมีการผสมผสาน เช่น นำวัตถุดิบบางอย่างจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อสร้างกลิ่นและความหอมแบบธรรมชาติ เช่น เราไปช้อปปิ้งไปคุยกับชาวสวนที่เมืองอิสปาร์ตา ตุรกี ซึ่งเก่งเรื่องกุหลาบ (เมืองแห่งดอกกุหลาบ) ลาเวนเดอร์ โรสแมรี่ และพวกสมุนไพรฝรั่งที่เขาสกัดน้ำมันหอม ซึ่งไม่ได้ซื้อจาก commercial แต่ซื้อจากสวนจริงๆ สดมาก นำเข้ามาใช้กับผลิตภัณฑ์ของเรา จึงมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ลูกค้าของเราจะเป็น B+ ถึง A ทุกคนจะชม “ทำไมผลิตภัณฑ์ของคุณดูบ้านๆ แต่กลิ่นดีจังเลย” จึงบอกว่าเราเอามาจากไหน

 

• ของดีที่จับต้องได้

“ข้อดีของการมีกัลยาณมิตรที่ดีตั้งแต่สมัยทำงาน เพื่อนก็จะแนะนำ มีแอดไวเซอร์จบ House Of Perfume มาจากฝรั่งเศส ทุกคนให้ความช่วยยเหลือ เราบอกคอนเซ็ปต์ของเราว่า ต้องเป็นของดีที่ราคาจับต้องได้ จะไม่มีของดีที่ราคาถูก เพราะเราไม่มีเวลาพอที่จะไปนั่งแก้ปัญหาทีหลัง และเราใช้เองด้วย รวมทั้งเพื่อนเราก็ใช้ เราไม่ต้องการเสียความสัมพันธ์กับเพื่อนเพียงเพราะต้องการประหยัดหรือได้กำไรเกินควร แต่เราเน้นพออยู่ได้ เลี้ยงชีพได้ และสร้างธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคตได้ มีเงินสำหรับการลงทุน เพราะว่าเราเป็นคนชอบพัฒนาสินค้ามาก คือคิดได้ตลอดเวลา เพราะในสวนของเรามีวัตถุดิบเยอะ ก็อยากเอาออกมาทำ พอทำก็มีคนอยากทำแบบเราก็ปล่อยให้เขาทำไป สังคมต้องช่วยกัน จึงจะโต อาจจะทำอย่างเดียวก็ได้แต่ต้องรู้จริง รู้ลึกรู้จริง ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม อย่าท้อถอย และต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการที่จะรู้ว่าลูกค้าชอบอะไร กลุ่มเป้าหมายเราคือใคร ไม่มีหรอกที่จะบอกว่าขายให้ใครกได้ เราต้องรู้ว่าเราขายให้ใคร อย่างพี่ก็โฟกัสเลยว่า พี่ขายลูกค้าที่นี่ ลูกค้าอยากซื้อก็มาซื้อที่นี่ ที่แดรี่โฮม ซื้อที่ไร่ของเรา หรือซื้อตรงกับเราเลย เราก็ใช้โอกาสตรงนี้แนะนำ และพาร์ทเนอร์ของเราก็เป็นที่ที่ให้โอกาสเรา เราช่วยกันซัพพอร์ต มีอะไรดีดีเราก็ช่วยกันตลอด” พี่โช บอกเล่า

“สิ่งที่ดีที่สุดในการทำธุรกิจคือการมีกัลยาณมิตร มีพาร์ทเนอร์ชิพที่ดี เราต้องรักษาไว้ ทุกคนคือ พาร์ทเนอร์ชิพของเรา”

• ผลผลิตนานาชนิด

สำหรับผลผลิตที่ไร่ ในช่วงฤดูฝนก็จะมีบรรดากุหลาบพันธุ์ต่างๆ อะโวคาโดก็แตกดอกแล้ว แก้วมังกร ว่านหางจระเข้ก็มีอยู่แล้ว ซึ่งเพิ่งรื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่ ต้องมีการรีโนเวท ที่มีเพิ่มเข้ามาคือว่านหางจระเข้พันธุ์แปลกๆ เช่น สีแดงทั้งต้น หรือบางต้นก้ามใหญ่เท่าแขน ลูกค้าก็ชอบความแปลก เราก็ชอบ และตอนนี้คุณแม่เริ่มปลูกมะเขือเทศซึ่งนำเมล็ดเข้ามาจากเยอรมัน และทำรั้วให้เลื้อยเองด้วย เอาไม้ไผ่มาทำ ไม่รู้ทำได้ไง คนแก่อายุ ๘๐ แล้ว มีหลายๆ พันธุ์ ในอนาคตเราก็จะเอาโอลีฟที่เพาะไว้และมะกอกตุรกีมาลงด้วย เมื่อมะกอกติดผลเราก็จะเอาน้ำมันมาทำผลิตภัณฑ์   

พี่โชบอกว่า ที่ไร่ไม่มีแรงงาน คือมีแค่พ่อแม่และพี่โช คือแรงงานที่นี่หายากมาก เมื่อก่อนคุณพ่อคุณแม่ก็ทำเอง ตอนนี้คุณพ่อป่วย คุณแม่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว ลูกก็ไปๆ มาๆ เมื่อก่อนเรามีไร่น้อยหน่าด้วย อร่อย แต่ว่าเราก็ไม่ได้ชอบน้อยหน่ามาก จึงรื้ออกหมด แล้วก็มาคิดใหม่ทำใหม่ เมื่อรื้อออกก็เอาโปรดักส์เป็นตัวตั้งว่าเราจะทำอะไร ก็รื้อแบ่งแปลง จะคิดไม่เหมือนคนอื่น จะทำสินค้าอะไร และโฟกัสไปว่าว่านหางจระเข้คือครึ่งหนึ่งของธุรกิจเรา ก็ปลูกไปเลยครึ่งหนึ่งและก็ไม่ต้องเยอะ เน้นปลูกให้ดีให้สวยแค่นั้นพอ เพราะจริงๆ ก็ไม่ได้ใช้เยอะ อีกส่วนหนึ่งก็ให้คุณแม่ปลูก บังคับไม่ให้ทำเยอะ ปลูกมะเขือเทศและพืชพันธุ์ที่เอามาจากต่างประเทศ อีกพื้นที่ส่วนหนึ่งก็ว่างไว้และมีแผนจะลงกุหลาบ ส่วนที่มีต้นไม้แปลกๆ ก็ให้อยู่แบบนั้นไป มีทุกอย่าง ให้อยู่เป็นปกติ ไม่ต้องไปยุ่ง

“สรุปแล้วคือ พื้นที่ ๒๐% ของพื้นที่ทั้งหมด ปลูกในสิ่งที่เรานำมาทำผลิตภัณฑ์ และทำให้ดีที่สุด และโฟกัสไปที่จุดนั้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะหลายคนก็ยังชอบความแปลก” 

 

• ผลิตภัณฑ์คุณภาพมากมาย

ปัจจุบัน วัตถุดิบจากไร่โชตวันมีทั้ง อโวคาโดพันธุ์โชตวัน ๒๑ ซึ่งพี่โชบอกว่า “อร่อยมากกกก” นอกจากนี้ ยังมีว่านหางจระเข้พันธุ์บาบาเดนซีส, เลมอน, มัลเบอร์รี่, หมากเม่า, ใบย่านาง, ใบเตย, กุหลาบ ซึ่งตอนนี้เริ่มลงกุหลาบมอญ จะเอามาเป็นน้ำกุหลาบ และเคยทำน้ำกุหลาบว่านหางจระเข้ อร่อยมากกกก (ก ไก่ล้านตัวอีกแล้ว) รวมทั้ง สเปรย์กันยุง ใช้มะกรูด ส้มโอ ตะไคร้หอมต่างๆ ที่เป็นพืชกลุ่มซีตรัส เอามาหมักทำยากันยุง แรกๆ ก็ทำเองหมดเลย ต่อมาก็มีคุณพ่อมาช่วย ทำให้คุณพ่อมีรายได้ ทำเก่งมาก

 

• สร้างคุณค่าให้ผู้สูงวัย

“สิ่งสำคัญคือต้องดูว่ารอบตัวเรามีใครที่สามารถช่วยเราได้บ้าง ซึ่งสำคัญที่สุดคือเราได้สร้างคุณค่าให้ชีวิตหลังเกษียณให้คนสูงอายุอย่างไร เมื่อได้ทำงานพวกนี้ก็จะรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่ามาก คุณแม่พูดเสมอว่า เวลาเขามีคุณค่า เขาจะสอนเสมอ คุณพ่อก็เหมือนกัน พอเขาได้ทำงานจากที่เคยอ่อนแอก็กลับมาแข็งแรง มีรายได้เข้ามา และก็ไม่ได้เอาเงินไปทำอะไร แต่คือรางวัลแห่งความสามารถ เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งให้คนแก่อยู่ว่างๆ ต้องหากิจกรรม หาเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้ รวยแล้วก็ต้องให้” พี่โชพูดไปยิ้มไป

 

• เป้าหมายไร่โชตวัน

พี่โชบอกว่า เดิมทีไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้เยอะ แค่อยู่ตรงนี้แล้วหาเลี้ยงชีพ และสามารถเอาเงินทุนหมุนเวียนมาลงทุนในไร่ของเรา สร้างนู่นนี่ อนาคตก็คงต้องเปิดรับนักท่องเที่ยว เพราะต่างชาติติดต่อมาเยอะ ปรากฏว่า ความที่เราทำดีมั้ง ช่วงที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ลูกค้าของเรา ๗๐% เป็นนักท่องเที่ยว เพราะคนไทยรู้อยู่แล้ว คือคนไทยกลุ่มบีถึงเอซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา แต่ว่านักท่องเที่ยวอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็มาซื้อ เชื่อไหมว่า พุ่งมาที่บูธแล้วกวาดซื้อหมดเลย คือร้านอื่นก็มี ซึ่งที่สิงคโปร์ออร์แกนิคโปรดักส์แพงมาก เขาใช้ของดีมาเยอะ เขาจะรู้เลยว่า อะไรที่จะซื้อหรือไม่ซื้อ เพราะฉะนั้น เราไม่แปลกใจ ทำไมเขาจึงซื้อของเรา เพราะผลิตภัณฑ์ของเราดี ชนกับแบรนด์เนมได้เลย คุณภาพเราดีจริงๆ และเริ่มมี repeat order ทุกครั้งที่เขามาเมืองไทยก็บอกว่า “ยูส่งให้ไอที่โรงแรมนะ” ตอนนี้เริ่มมีลูกค้าจากฮ่องกงมาบ้าง “ยูส่งฮ่องกงเท่าไหร่” และเริ่มมีคนไทยที่ทำการค้ากับคนกลุ่มนี้เริ่มมาซื้อด้วยออเดอร์เยอะๆ แล้วก็จะนำส่งออก และช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงของการเตรียมการส่งออก ตามมาตรฐาน กลายเป็นว่ากลับไปอยู่ในจุดที่เราเคยทำงานมาก่อนหน้านี้ เราอยู่กรุงเทพฯ เราก็ทำแนวนี้เหมือนกัน ก็ถือว่าวนเวียนอยู่อย่างนี้ (หัวเราะ)

 

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคภายใต้แบรนด์ของ “โชตวัน” สามารถซื้อได้หลากหลายช่องทาง รวมทั้งยังมีวางขายที่แดรี่โฮมในทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันธรรมดาที่มีกรุ๊ปนักท่องเที่ยวเข้ามา ทางแดรี่โฮมก็จะชวนมาตั้งบูธจำหน่าย ซึ่งพี่โชบอกว่า “ถือว่าได้คุยกับลูกค้าด้วย เป็นการทำงานให้สนุก” หรือจะติดต่อทางเพจ “ไร่โชตวัน ไร่ว่านหางจระเข้ออร์แกนิค Raichotawan Aloe Vera Organic Farm”

• ทีมข่าวโคราชคนอีสาน

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๘ ฉบับที่ ๒๗๕๒ ประจำวันที่ ๑๕ เมษายน - ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๖

 

 

 


1007 1905