กองทัพภาคที่ ๒ ประชุมกับผู้ว่าฯ และอปท. ๔๒ แห่ง แก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยเทศบาลนครฯ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน หลังพื้นที่ C ขยะล้น ล่าสุดเปิดให้ทิ้งในพื้นที่ B แต่ต้องขนออกวันต่อวัน

เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๘ ที่ห้องประชุม ๑ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๒ ค่ายสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา พลตรีณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ ๒ พร้อมด้วยนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายอนันต์ ถ้ำทอง ท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา และกลุ่มคลัสเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานรัฐ เอกชน รวม ๔๒ แห่งที่นำขยะมาทิ้งที่ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครนครราชสีมา ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีมา ได้รับผลกระทบกรณีกองทัพภาคที่ ๒ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ราชพัสดุทะเบียนเลขที่ นม.๑๖๒ ในราชการกองทัพบก มีคำสั่งงดนำขยะมาทิ้งในพื้นที่ C บ่อฝังกลบขยะมูลฝอยชั่วคราว ๕๐ ไร่ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๘ ได้ร่วมประชุมโครงการระบบกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลนครนครราชสีมา เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาการดำเนินชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา

ทั้งนี้ สำหรับความเป็นมาของนั้น เทศบาลนครนครราชสีมา และกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ ๒ ได้จัดทำบันทึกข้อตกลง การใช้พื้นที่ในครอบครองของกองทัพบก เพื่อจัดทำโครงการระบบกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลนครนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยแบ่งพื้นที่ ออกเป็น ๔ ส่วน ได้แก่ พื้นที่ A1 พื้นที่กองขยะและฝังกลบเดิม ขนาดพื้นที่ ๔๑-๐-๕๘ ไร่ ระยะเวลาใช้งาน ปี พ.ศ.๒๕๕๐–๒๕๖๗ และเทศบาลฯ จะดำเนินการดูแลพื้นที่ต่อไปถึงปี ๒๕๘๙, พื้นที่ A2 พื้นที่ตั้งโรงงานปุ๋ยอินทรีย์และพลังงานเดิม ขนาดพื้นที่ ๓๑-๓-๔๒ ไร่ ระยะเวลาใช้งาน ปี พ.ศ.๒๕๕๐–๒๕๘๙, พื้นที่ B พื้นที่ตั้งโรงงานเตาเผาขยะเพื่อผลิตพลังงาน ขนาดพื้นที่ ๑๒๑-๐-๕๘ ไร่ ระยะเวลาใช้งาน ปี พ.ศ.๒๕๖๑–๒๕๘๙ และพื้นที่ C พื้นที่บ่อฝังกลบขยะมูลฝอยชั่วคราว ขนาดพื้นที่ ๕๐-๐-๐ ไร่ ระยะเวลาใช้งาน ปี พ.ศ.๒๕๖๑–๒๕๖๗ และเทศบาลฯ จะดำเนินการดูแลพื้นที่ต่อไปถึงปี ๒๕๘๙

ส่วนสาเหตุที่กองทัพภาคที่ ๒ ให้เทศบาลนครนครราชสีมา งดเว้นการนำขยะมาทิ้ง (ในพื้นที่ C) เนื่องจากการดำเนินโครงการฯ ของเทศบาลนครนครราชสีมา ไม่เป็นไปตามบันทึกข้อตกลง และในพื้นที่ C มีปริมาณขยะสะสม ๓๓๔,๘๖๓ ตัน ซึ่งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งในด้านสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ จากกลิ่นอันไม่พึงประสงค์และน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากขยะ และเทศบาลฯ ยังไม่มีแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่ชัดเจน (ซึ่งไม่เป็นไปตามการประชุมหารือในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๘) อีกทั้ง กองทัพภาคที่ ๒ ได้มีหนังสือขอให้เทศบาลฯ เร่งรัดในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้วนั้น กองทัพภาคที่ ๒ จึงขอให้เทศบาลดำเนินการดังนี้

(๑) พื้นที่ A1.1 และ A1.2 ให้เทศบาลฯ รีบดำเนินการให้เรียบร้อย (๒) พื้นที่ A2 ยังสามารถดำเนินโครงการฯ ได้เหมือนเดิมตามบันทึกข้อตกลงฯ รถขนขยะอินทรีย์ สามารถนำขยะอินทรีย์มาส่งให้แก่โรงงานได้ แต่ขยะที่นอกเหนือจากขยะอินทรีย์ ให้เทศบาลฯ วางแผนขนย้ายขยะไปพื้นที่อื่น ที่ไม่ใช่พื้นที่ C (๓) พื้นที่ B หลังจากศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งจนถึงที่สุดแล้ว เทศบาลฯ และกองทัพภาคที่ ๒ จะมาหารือร่วมกันอีกครั้ง และ (๔) พื้นที่ C ให้งดเว้นการนำขยะมูลฝอยมาทิ้งในพื้นที่ C ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๘ เป็นต้นไป, ให้เทศบาลฯ ดำเนินการในการขนย้ายขยะออกจากพื้นที่ C เพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงฯ และสรุปประชุมในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๘ และให้เทศบาลฯ ประชาสัมพันธ์หน่วยงาน และประชาชนให้งดเว้นการเข้ามาทิ้งขยะในพื้นที่ C พร้อมทั้งติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ฯ

ทั้งนี้ จากการประชุมหารือในการแก้ไขปัญหาในปัจจุบันได้ข้อสรุปว่า จังหวัดนครราชสีมา และกองทัพภาคที่ ๒ ได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยคำนึงถึงการดำเนินชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาได้ดังนี้ ๑) พื้นที่ C ให้เทศบาลฯ งดเว้นการนำขยะมาทิ้ง ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๘ เวลา ๑๘.๐๐ เป็นต้นไป และให้เทศบาลฯ ดำเนินการขนย้ายขยะออกจากพื้นที่ C เพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลง ๒) พื้นที่ B อนุโลมให้เทศบาลฯ นำขยะมาทิ้งพักไว้ในพื้นที่ B ได้ ไม่เกินวันละ ๓๕๐ ตัน โดยเริ่มนำขยะมาทิ้งได้ตั้งแต่วันที่ ๑๒–๒๑ เมษายน ๒๕๖๘ (อนุโลมให้ยังไม่ต้องขนขยะออก เนื่องจากติดเรื่องการห้ามรถบรรทุกวิ่งช่วงสงกรานต์) ส่วนวันที่ ๒๒–๓๐ เมษายน ๒๕๖๘ สามารถนำขยะมาทิ้งได้และต้องดำเนินการขนขยะออกจากพื้นที่ B (รวมถึงขยะที่นำมาทิ้งในห้วงวันที่ ๑๒-๒๑ เมษายน ๒๕๖๘) ให้หมดภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘ และตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ สามารถนำขยะมาพักในพื้นที่ B ได้ แต่ต้องดำเนินการขนย้ายขยะออกให้หมดเป็นประจำทุกวัน

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๕๐ ฉบับที่ ๒๗๗๔ วันที่ ๑๕ มีนาคม - วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๘