26thJune

26thJune

26thJune

 

June 21,2018

“เงินทอนวัด” ความผิดอยู่ที่คนกับพระ ไม่เกี่ยวกับศาสนา


การจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินจากการทุจริตเงินทอนวัด  เป็นข่าวที่สร้างความตกใจแก่สังคม เพราผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม บางรายเป็นถึงเจ้าอาวาสวัดดัง และกรรมการมหาเถรสมาคม
ในช่วงนี้ สงครามข่าวลือ ข่าวปล่อย ผ่านโซเชียลมีเดียในแวดวงพระพุทธศาสนา หยิบยกกรณีหน่วยงานรัฐตรวจสอบและดำเนินคดีที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ขึ้นมาโจมตี ยังคงเกิดขึ้น ไม่หยุด หนำซ้ำยังลากประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
หากพิจารณาถึงข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ทางตำรวจได้ยื่นฟ้องต่อศาล จะพบว่า สาเหตุสำคัญเกิดจากการทุจริตระหว่างข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพระชั้นผู้ใหญ่ เบียดเบียนเงินงบประมาณแผ่นดินมาเป็นของตนและพวกพ้อง
ขอย้ำว่า หลักคำสอนของแต่ละศาสนาเป็นสิ่งที่สวยงามและบริสุทธิ์ ดังประโยคที่ว่า“ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี” เพราะฉะนั้นหากเป็นผู้มีปัญญา จะแยกออกได้ว่า หลักทางศาสนากับ “การทุจริตของบุคคล” นั้นเป็นคนละเรื่องกัน
ย้อนกลับไปในแต่ละปี รัฐบาลจะตั้งงบประมาณอุดหนุนวัดทั่วประเทศ ประมาณ ๔ หมื่นแห่ง รวมกันแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านบาท ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ 
๑. เงินอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด ประมาณ ๕๐๐ ล้านบาท 
๒. เงินอุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ ล้านบาท 
๓. เงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี ประมาณ ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ ล้านบาท
ที่ผ่านมา เวลาที่วัดทำเรื่องของบประมาณ มักจะขอไปยังสำนักพุทธฯ ส่วนกลาง มากกว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด กลายเป็นช่องทางรั่วไหลและเกิดการทุจริตขึ้น
เพราะวิธีการหาเศษเงินอย่างฉ้อฉลมีหลายรูปแบบ เช่น ผู้บริหารสำนักพุทธฯ จะส่งคนของตัวเองไปยังจังหวัดต่างๆ แล้วดีลกับทางเจ้าอาวาสวัด ถามว่า วัดนี้ชำรุดทรุดโทรมแล้ว จะบูรณะปฏิสังขรณ์ไหม เดี๋ยวจะช่วยจัดสรรงบประมาณมาให้
แต่วัดต้องเขียนโครงการส่งไปให้สำนักพุทธฯ โดยตรง ซึ่งต้อง “บวกเพิ่ม” มากถึง ๗๕-๙๐% พอได้งบประมาณมาแล้ว วัดจะต้องถอนเงิน แล้วเอาเงินสดไปให้เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ แบบนี้เรียกกันว่า “เงินทอน”
หรือกรณีเงินทอนวัดล็อต ๓ ก็คือ พระชั้นผู้ใหญ่ร่วมกับผู้บริหารสำนักพุทธฯ โครงการขอเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมและเผยแผ่ศาสนา แต่นำเงินไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ แถมยังเปิดรับบริจาคซ้ำสองทั้งที่ได้เงินอุดหนุนไปแล้ว
แต่ในยุคที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง แม้จะมาเพราะกรณีการติดตามจับกุมพระธัมมชโยก็ตาม พอเห็นแบบนี้ ก็เลยเปลี่ยนวิธีของบประมาณใหม่
นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ เป็นต้นมา วัดไหนจะของบประมาณ ต้องทำโครงการส่งผ่านคณะกรรมการระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด พระสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เป็นกรรมการกลั่นกรอง ก่อนส่งไปให้สำนักพุทธฯ ส่วนกลาง
หนำซ้ำ พอวัดได้งบประมาณจากสำนักพุทธฯ ไปแล้ว คณะกรรมการระดับจังหวัดยังต้องควบคุมการจัดสรร และตรวจสอบการใช้เงินอย่างละเอียดยิบ เรียกได้ว่าวัดจะใช้เงินไปทางไหน             จะโยกเงินไปทำอะไรนอกโครงการก็เป็นเรื่องยาก
นอกจากจะเปลี่ยนวิธีใหม่แล้ว ยังไล่บี้งบประมาณในปีที่ผ่านมา ที่พบว่าทุจริตกันเป็นล่ำเป็นสัน
ย้อนกลับไปเมื่อ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ผู้ที่จุดกระแสให้เกิดการตรวจสอบงบประมาณวัดแบบ “ขุดรากถอนโคน” ก็คือ พระครูใบฎีกา อนันต์ เขมานนฺโท เจ้าอาวาสวัดห้วยตะแกละ ต.ท่าแลง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
ร้องเรียนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ระบุว่า ข้าราชการสำนักพุทธฯ ทอนเงินสร้างพระอุโบสถกลับไป ๑๐ ล้านบาท วัดได้รับเงินจริงเพียง ๑ ล้านบาทเท่านั้น
งานนี้ บก.ปปป. เลยลงไปตรวจสอบ พบการทุจริตเงินทอนวัด ล็อตแรก ๑๒ วัด มีข้าราชการสำนักพุทธฯ และพลเรือนทุจริต ๑๐ คน มูลค่าความเสียหาย ๖๐ ล้านบาท มีการทอนเงินกลับมายังผู้บริหารระดับสูงของสำนักพุทธฯ มากถึง ๗๕%
ล็อตที่ ๒ พบทุจริตเงินทอนวัดจำนวน ๒๓ วัด มูลค่าความเสียหาย ๑๔๑ ล้านบาท มีข้าราชการสำนักพุทธฯ ทุจริต ๑๓ คน พระภิกษุสงฆ์ ๔ รูป และพลเรือน ๒ คน
หนึ่งในนั้นพบว่า มีการทอนเงินกลับไปยัง ผู้บริหารระดับสูงของสำนักพุทธฯ มากที่สุดถึง ๓๐ ล้านบาท น้อยสุดจำนวน ๕ แสนบาท ส่วนใหญ่เป็นวัดในกรุงเทพมหานคร
ล็อตที่ ๓ พบทุจริตเงินทอนวัดจำนวน ๑๐ วัด มูลค่าความเสียหาย ๑๔๐ ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงบการศึกษาพระปริยัติธรรม มี ๓ วัดที่เป็นข่าวดังก็คือ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร และวัดสามพระยาวรวิหาร
ตำรวจกองปราบปราม ก็เข้าตรวจค้น ๓ วัดดัง ก่อนดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ยังเหลืออดีตพระพรหมเมธี หรือนายจำนงค์ เอี่ยมอินทราผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ฯ ที่ยื่นขอลี้ภัยกับทางการเยอรมัน
เงินทอนวัดทั้ง ๓ ล็อต สรุปแล้วถูกดำเนินคดีรวม ๓๓ วัด มูลค่าความเสียหายกว่า ๓๔๐ ล้านบาท ผู้ต้องหารวม ๑๙ ราย แบ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ ๗ รูป ข้าราชการและอดีตข้าราชการสำนักพุทธฯ ๑๐ คน และประชาชนที่มีส่วนรู้เห็น ๒ ราย
โดยเฉพาะ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ ที่หลบหนีไปต่างประเทศ, นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ และ นางประนอม คงพิกุล รอง ผอ.สำนักพุทธฯ ต่างถูกตรวจค้นทรัพย์สิน และดำเนินคดีกันถ้วนหน้า
ล่าสุด ล็อตที่ ๔ ตรวจสอบวัดที่ได้งบประมาณจากสำนักพุทธฯ เกิน ๑ ล้านบาทขึ้นไป เบื้องต้นพบว่า มีอยู่ ๓๐ วัด ที่พบการทุจริต ซึ่งหลังจากนี้คงต้องรอให้ ผอ.สำนักพุทธฯ ร้องทุกข์กล่าวโทษกับ บก.ปปป. เพื่อดำเนินคดี
ที่เป็นข่าวล่าสุด คือ โรงเรียนวิเวกธรรมประสิทธิ์วิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมภายใน วัดธาตุ พระอารามหลวง จ.ขอนแก่น พบว่างบประมาณที่สำนักพุทธฯ โอนมาให้ ๑๘ ล้านบาท เหลือให้วัดประมาณ ๑ ล้านบาทเท่านั้น
นอกนั้น ๑๗ ล้านบาท มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคนทำเรื่องงบประมาณให้กับวัด โอนเงินคืนมาเป็นของตนเอง ทำให้วัดเสียหาย โดยที่ก่อนหน้านี้ เจ้าอาวาสและพระสงฆ์ภายในวัดไม่ได้แตะเงิน
ทางวัดคิดไปว่า เป็นขั้นตอนของทางราชการที่สามารถทำได้จึงคืนให้ไป ไม่นึกว่าจะเป็นการทุจริต!
บทเรียนของคดีเงินทอนวัด ที่สะเทือนสังคมไทย นอกจากการดำเนินคดีแบบขุดรากถอนโคนแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะป้องกันไม่ให้ซ้ำรอยก็คือ ภาครัฐจะต้องมีกลไกควบคุมเพื่ออุดช่องโหว่ไม่ให้ข้าราชการสำนักพุทธฯ กระทำการฉ้อฉลได้อีกต่อไป
ส่วนพุทธศาสนิกชนที่อาจจะสะเทือนใจ กรณีพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง มีพรรษามากกว่า ๔๐-๕๐ พรรษา และได้รับสมณศักดิ์และตำแหน่งต่างๆ ถูกดำเนินคดีและถูกจับสละสมณเพศ อาจจะไม่เชื่อว่าได้กระทำความผิดจริง
แม้ทางตำรวจจะดำเนินคดีไปตามพยานหลักฐาน แต่เมื่อเรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่สังคมให้ความสนใจ ต่อให้รอบคอบแค่ไหน ก็มักจะมีช่องให้ถูกโจมตี โดยเฉพาะกลุ่มลูกศิษย์วัดที่เกี่ยวข้องกับคดี ซึ่งมีความศรัทธาต่อผู้ต้องหามานาน 
คงต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจในการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาลถึงพฤติการณ์ต่างๆ ให้สาธารณชนได้ทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ในยุคที่เจ้ากรมข่าวลือบนโซเชียลมีเดียกำลังทำให้สังคมสับสนอยู่ในขณะนี้
ถือเป็นงานหนักของ พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. ที่รับเผือกร้อนแต่เพียงผู้เดียว พร้อ มกับ พ.ต.ท.พงศ์พร ในฐานะเจ้าทุกข์จะต้องเดินหน้าเรื่องนี้ท่ามกลางแรงเสียดทานจากหลายฝ่ายต่อไป.


กิตตินันท์ นาคทอง

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๒๕๐๙ วันเสาร์ที่ ๑๖ - วันพุธที่ ๒๐ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ 


719 1,453