เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 15 ก.ย.2557 ที่ สภ.บ้านไผ่ พ.ต.อ.ออมสิน  ตรารุ่งเรือง รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น ในฐานะหัวหน้าชุดปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตำรวจภูธรภาค 4 (ศปจร.ภ.4) พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุวัฒน์  สมจิตร ผกก.สภ.บ้านไผ่,พ.ต.ท.แมน  ศิริฉาย รอง ผกก.สส.สภ.บ้านไผ่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ศปจร.ภ.4 และ จาก สภ.เมืองลพบุรี ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมนายชาตรี  หนูเทียม อายุ 43ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 ม. 8 ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร พร้อมของกลางรถยนต์กระบะโตโยต้า อีซูซุ หมายเลขทะเบียน บน 1543 ประจวบคีรีขันธ์ หลังถูกตำรวจเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ ขณะพยายามขับรถผ่านด่านตรวจบ้านนาโน ถ.มิตรภาพ อ.บ้านไผ่ ฝั่งขาล่อง มุ่งหน้าสู่ กรุงเทพฯ  ตามการประสานการสกัดจับกุมจาก ศูนย์ข้อมูลรถหายสายด่วน 1192 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

  ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ได้เรียกเพื่อขอตรวจค้นนั้นคนขับได้อาศัยจังหวะช่วงชุลมุนหลบหนีไปได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่นั่งมาบริเวณด้านข้างข้างคนขับไว้ได้ ก่อนทำการควบคุมตัวมาสอบสวนขยายผลที่ สภ.บ้านไผ่   

พ.ต.อ.ออมสิน  ตรารุ่งเรือง รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พร้อมผู้ต้องหา

       พ.ต.อ.ออมสิน กล่าวว่า  จากการตรวจสอบพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้มีการแจ้งหายไว้ที่ สภ.เมืองลพบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมาจนกระทั่งสืบทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้วิ่งมาจากจังหวัดหนองคายเพื่อเข้ากรุงเทพมหานคร  ตำรวจจึงได้สกัดจับรถยนต์คันดังกล่าวได้ในที่สุด  เบื้องต้นผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธ บอกว่าได้โบกรถเพื่อขอไปลงที่กรุงเทพมหานครเท่านั้นโดยไม่รู้จักกับคนขับแต่อย่างใด ขณะที่รถยนต์ที่ตรวจยึดมาได้นั้นทราบว่าเป็นของนายทหาร ในสังกัด จ.ลพบุรี ซึ่งจะมีการประสานไปยังเจ้าขจองเพื่อนำเอสกรมายืนยันอีกครั้ง

       “รถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์แบบแคป  ซึ่งได้มีการดัดแปลงสภาพรถด้วยการใส่หลังคาแครี่บอย พร้อมกับตัดกระบะหลังแคปออกให้ยาวขึ้น  เพื่อใช้ในการขนสิ่งผิดกฎหมายโดยเฉพาะไม้พะยูง เพราะในรถพบเศษไม้จำนวนมาก  และมีการเสริมแหนบรถเพื่อให้รับน้ำหนักมากขึ้น  ที่ผ่านขบวนการค้าไม้พะยูงและยาเสพติด  ได้หันไปใช้รถยนต์ที่ถูกโจรกรรมกาหรือรถสวมทะเบียนมาใช้ในการขนสิ่งผิดกฎหมายดังกล่าวมาขึ้น  เพราะหากเจอจุดตรวจก็จะทิ้งรถหลบหนีทันทีเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม   ขณะนี้ได้สั่งการให้ตำรวจเข้มในการกวาดล้างรถยนต์ผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด” พ.ต.อ.ออมสิน กล่าวในที่สุด