5thDecember

5thDecember

5thDecember

 

April 11,2022

‘พปชร.’ยกทัพประชุมที่โคราช อวดผลงานโดดเด่นตลอด ๓ ปี เลือกกรรมการบริหารพรรคใหม่

‘พลเอกประวิตร’เปิดประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ ร่ายยาวผลงานที่เคยทำตลอดระยะเวลากว่า ๓ ปี ยืนยันนโยบายดี ประชาชนชื่นชอบ แม้ในช่วงวิกฤตก็ยังช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น พร้อมตั้งเป้าหมายสร้างเศรษฐกิจ และสังคมพลังประชารัฐ ย้ำบ้านหลังนี้คือครอบครัว ก้าวเดินไปด้วยกัน ดันบิ๊กทหารนั่งกรรมการบริหารพรรค

เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๕ ที่เทอร์มินอล ๒๑ โคราช พรรคพลังประชารัฐ จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (บิ๊กป้อม) รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รองหัวหน้าพรรค และรักษาการเลขาธิการพรรค, นายวิรัช รัตนเศษฐ รองหัวหน้าพรรค, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รองหัวหน้าพรรค ประธานยุทธศาสตร์พรรค, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมประชุม

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ปราศรัยว่า “วันนี้เป็นการประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ ประจำปี ๒๕๖๕ โดยผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนสาขาพรรคการเมืองประจำจังหวัด และสมาชิก เกินกว่า ๒๕๐ คน ถือว่าครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด วันนี้ผมจะมาเล่าว่า ตลอดระยะเวลา ๓ ปี ที่พรรคพลังประชารัฐร่วมกับคณะรัฐมนตรี นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ทำอะไรไปบ้าง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐถือกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ ด้วยการผนึกกำลังของผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน ตลอดระยะเวลา ๔ ปี ทุกคนได้สร้างบ้านแห่งนี้ให้มั่นคงและเข้มแข็งในการสร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนจะได้ร่วมกันสร้างบ้านหลังนี้ให้ยิ่งใหญ่ต่อไป ก็อยู่ที่ทุกคนจะช่วยกันทะนุบำรุงพรรคให้เข้มแข็ง ผมได้ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมืองร่วมกับสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตลอดระยะเวลา ๒ ปี ผมตระหนักว่า สมาชิกพรรคทุกคนนั้น ไว้วางใจ จึงต้องมุ่งมั่นและตั้งใจทำงาน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พรรคอย่างเต็มกำลังและเต็มความสามารถ ผมได้จัดวางโครงสร้างการทำงานภายในพรรคฯ แบ่งเป็น ๑๐ ภูมิภาค โดยแต่ละภูมิภาคจะเลือกตั้งหัวหน้าด้วยตัวเองตามหลักประชาธิปไตย เพื่อให้สมาชิกทุกภูมิภาคได้นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แล้วนำมาขับเคลื่อนผ่านนโยบายพรรคฯ ที่ต้องการเพียงอย่างเดียว คือ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมากขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น”

ช่วยเกษตรกรอยู่ดีกินดี

“ผมและคณะผู้บริหารพรรคฯ ทราบดีว่า ปัญหาและแนวทางแก้ไขของประชาชนในแต่ละพื้นที่ มีความแตกต่างกัน ข้อมูลที่รวบรวมมาจากภูมิภาคต่างๆ ทั้ง ๑๐ แห่ง มีทั้งแนวทางและข้อเสนอแนะ ที่จะนำมาเป็นนโยบายตามบริบทของพื้นที่ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของประชาชน ปัญหาต่างๆ ได้มาจากการรับฟังของ ส.ส.ภายในพรรคในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นเกษตรกร ซึ่งเป็น กระดูกสันหลังหลักของเศรษฐกิจประเทศ นโยบายของพรรคฯ ที่สำคัญและทำมาอย่างต่อเนื่อง คือ นโยบายภาคการเกษตร ที่จะช่วยให้เกษตรกรและแรงงานภาคการเกษตรอยู่ดีกินดี มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ร่วมกับรัฐบาลขับเคลื่อน ๓ นโยบาย เพื่อช่วยเกษตรกร ได้แก่ ๑.แก้ไขปัญหาที่ทำกิน ๒.การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีน้ำทำการเกษตรเพียงพอ และ ๓.ดูแลราคาพืชเศรษฐกิจ เพื่อให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง พูดง่ายๆ คือ การจะจัดการที่ดินทำกินให้เกษตรกร จะต้องบริหารจัดการน้ำ และทำให้เกษตรกรขายสินค้าในราคาที่มีกำไร โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคงและยั่งยืน”

แก้ปัญหาที่ดินทำกิน

พลเอกประวิตร กล่าวอีกว่า “ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินของเกษตรกรได้รับการแก้ไขจากรัฐบาล ผ่านการผลักดันของพรรคพลังประชารัฐ โดยมีผมเป็นประธานคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้มอบหมายให้แก้ปัญหาที่ดินอย่างยั่งยืน ด้วยการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยให้มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเสียสิทธิ์ในที่ดินทำกิน การจำนองขายฝาก และถูกบังคับคดี นอกจากนั้น ยังได้จัดทำรูปแบบกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงรวม โดยจัดซื้อที่ดินเพื่อนำมาให้เช่าที่ดินในระยะยาว ไม่เกิน ๓๐ ปี ในราคาดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงสิทธิ์เพื่อการพัฒนาที่ดินและที่อยู่อาศัย แก้ไขปัญหาเสียสิทธิ์ในที่ดิน โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อนำไปถอดถอน ไถ่ถอน จากสถาบันการเงินและเจ้าหนี้นอกระบบ จากการจำนองขายฝากและชำระหนี้ตามคำพิพากษา รวมทั้งสินเชื่อในการประกอบอาชีพเกษตรกร เพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพต่อไปด้วย”

“สำหรับพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ได้ช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และนโยบายทวงคืนผืนป่า โดยจัดซื้อที่ดินตามที่เกษตรกรได้รวมตัวกัน ในนามของวิสาหกิจชุมชนไร่นาสวนผสมเกษตรกรฐานรากบ้านช่องโคพัฒนา ต.รังกาใหญ่ อ.พิมาย นอกจากจัดสรรที่ดินทำกินแล้ว สิ่งที่รัฐบาลได้ขับเคลื่อนควบคู่มาตลอด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ คือ การบริหารทรัพยากรน้ำ โดยมีแผนแม่บทจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี และผลักดันพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.๒๕๖๑ เพื่อบูรณาการ จัดสรร บำรุงรักษา ฟื้นฟู และอนุรักษ์ สามารถบริหารทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันในทุกมิติ จากการจัดทำแผนแม่บทจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี มีการติดตามอย่างเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดผลงานสำคัญทั้งน้ำบทดินและใต้ดิน อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้าน กว่า ๕,๐๐๐ แห่ง การจัดทำสระน้ำในไร่นากว่า ๒๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และเพิ่มประสิทธิภาพของประปาเดิม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ เช่น บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ บึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก บึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร บึงหนองหาน จังหวัดสกลนคร และพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน โดยการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แผนแม่บทนี้จะให้ความสำคัญกับพื้นที่เกษตรน้ำฝน โดยวางแผนจัดการน้ำในทุกรูปแบบ เพื่อความมั่นคงของประชาชนในพื้นที่เกษตรน้ำฝน ให้มีน้ำอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่มากกว่า ๑๐๐ ล้านไร่ ในช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ทำให้มีน้ำเพิ่มขึ้นกว่า ๒๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้รับประโยชน์มากกว่า ๑ ล้านครัวเรือน และมีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น ๑ ล้านไร่ จากการบริหารน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนสามารถใช้น้ำอุปโภค บริโภค และเกษตรอย่างเพียงพอ ในส่วนของการจัดการน้ำด้านอุทกภัย ได้มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า มีการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน ทำให้เกิดความเสียหายน้อยลง และป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

พลเอกประวิตร กล่าวต่อไปว่า “เรื่องการเพิ่มรายได้เกษตรกรจากพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าว อ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน พืชเศรษฐกิจทั้ง ๕ ชนิด ไม่ใช่พืชมีไว้สำหรับบริโภคอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด โดยเมื่อปี ๒๕๖๔ มีรายได้จากพืชทั้ง ๕ ชนิดรวมกันกว่า ๗ แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๖๓ ร้อยละ ๑๙.๒ ส่วนปี ๒๕๖๕ คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ ๘.๘๖ แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๑ และเป็นรายได้สูงสุดในรอบ ๕ ปี สาเหตุที่รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นมาจากนโยบายที่ดินทำกิน การจัดการทรัพยากรน้ำ และเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว ทำให้เกษตรกรสามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกและมีผลผลิตมากขึ้น”

“เพื่อเป็นต่อยอดด้านเกษตร พรรคพลังประชารัฐจึงผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือ นโยบายเศรษฐกิจ BCG เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โดยมุ่งเน้นปรับโครงสร้างรูปแบบการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพืขเกษตรเศรษฐกิจ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ร่วมกับการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างคุ้มค่า นับเป็นโอกาสของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ที่พรรคพลังประชารัฐจะผลักดันนโยบายนี้ต่อไป เพื่อส่งเสริมให้เกิดการร่วมทุนของภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการผลิตด้านชีวภาคจากพืชเศรษฐกิจ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกษตรกรก็มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่า แม้จะมีสงครามหรือโควิด-๑๙ รัฐบาลก็สามารถนำพาประชาชนไปในทางที่ดีขึ้น และมีความเป็นอยู่ดีขึ้น”

ดูแลช่วงโควิด-๑๙

พลเอกประวิตร กล่าวอีกว่า “จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-๑๙ พรรคพลังประชารัฐได้ผลักดันการดูแลสุขภาพของคนไทย โดยช่วยเหลือในการแจกจ่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น รวมถึงการสนับสนุนโครงการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชน เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นความสำเร็จของพรรคพลังประชารัฐ โดยนำเสนอผ่านรัฐบาล ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายวันละไม่เกิน ๑๕๐ บาทต่อคน เป็นการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันโครงการดังกล่าวมีออกมาถึง ๔ เฟส และได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในเฟสที่ ๔ มียอดประชาชนเข้าร่วมมากถึง ๒๔ ล้านคน และมียอดการใช้จ่ายกว่า ๕ หมื่นล้านบาท และโครงการเราชนะ เป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภค โดยมีประชาชนได้รับสิทธิ์มากถึง ๓๓ ล้านคน ได้รับเงินช่วยเหลือคนละไม่เกิน ๙,๐๐๐ บาท ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบประมาณ ๒.๗ แสนล้านบาท”

ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน

พลเอกประวิตร กล่าวต่อไปว่า “พรรคพลังประชารัฐมีส่วนร่วมในการผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขับเคลื่อนหรือรองรับเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยเฉพาะการวางระบบคมนาคมขนส่งทางราง ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ด้วยระบบบริการประชาชนที่ทันสมัย รัฐบาลสามารถขยายโครงข่ายระบบราง ของรถไฟทางคู่ เปิดให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน และเปิดให้ร่วมบริหารรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด นอกจากนี้ยังได้พัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ ซึ่งดำเนินการไปแล้ว ๓ เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางสายชลบุรี-ระยอง เส้นทางกรุงเทพฯ-ประจวบคีรีขันธ์ และเส้นทางบางปะอิน-โคราช ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ จะเปิดให้ใช้บริการฟรีทุกเส้นทาง ในส่วนของการขนส่งทางอากาศ พรรคฯ ได้สนับสนุนรัฐบาลในการขยายสนามบินอู่ตะเภา เพื่อยกระดับให้เป็นสนามบินหลักในเชิงพาณิชย์ และจะมีการเปิดใช้สนามบินใหม่ เพื่อรองรับการขนส่งทางอากาศให้มากขึ้น และการพัฒนาเส้นทางจราจรทางน้ำ พรรคฯ ได้สนับสนุนการใช้งานนวัตกรรมเรือไฟฟ้า โดยปี ๒๕๖๕ จะเปิดให้บริการ ๕ เส้นทาง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ ๓ เส้นทาง ราชบุรี ๑ เส้นทาง และเส้นทางท่องเที่ยวทางทะเล ในอ่าวพังงา ๑ เส้นทาง”

“พรรคพลังประชารัฐยังได้ร่วมผลักดันยานยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตและใช้งานภายในประเทศ ประชาชนจะได้เข้าถึงยานยนต์พลังงานสะอาด ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สร้างรายให้กับประชาชนและยกระดับเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศ”

นโยบาย ๓ เสาหลัก

“นอกจากพรรคพลังประชารัฐจะมุ่งทำงานเพื่อประชาชนตามที่กล่าวมานั้น เรายังมุ่งหมายทำตาม นโยบายที่หาเสียงไว้ คือ นโยบาย ๓ เสาหลัก เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประกอบด้วย ๑.สวัสดิการประชารัฐ ๒.เศรษฐกิจประชารัฐ และ ๓.สังคมประชารัฐ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ทำให้เกิดโครงการสำคัญ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และสิ่งที่จะต้องทำควบคู่กันไป คือ การส่งเสริมอาชีพ การจ้างงานให้กับผู้มีรายได้น้อย และแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ล่าสุด ผมได้สั่งการให้นำข้อมูล Big data มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังจะจัดให้มีการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการครั้งใหม่ จะทำให้รัฐบาลดูแลผู้ถือบัตรสวัสดิการและผู้ตกหล่นได้ถูกต้อง อย่างไรก็ตามการดูแลผู้ถือบัตรตามแนวทางของพรรคจะไม่ใช่การแจกเงินรายเดือนเพียงอย่างเดียว แต่พรรคฯ ได้นำเสนอนโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้หลุดพ้นกับดักความยากจนอย่างยั่งยืน และสิ่งที่จะทำควบคู่กัน คือ การเสริมสร้างความรู้ด้านอาชีพ การหางาน และการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ รวมไปถึงการเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้กับผู้มีรายได้น้อย” พลเอกประวิตร กล่าว

พลเอกประวิตร กล่าวอีกว่า “ผมเชื่อว่า หากประชาชนได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่จำเป็น เขาจะสามารถต่อยอดทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพลังประชารัฐ ซึ่งพรรคฯ ได้ขับเคลื่อนและผลักดัน ให้รัฐบาลดำเนินนโยบายตามแนวทางนี้ โดยเปิดให้มีการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และลดภาระงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งการลงทุนนี้จะทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับประชาชน เป็นการกระจายความเจริญสู่ทุกภูมิภาค เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) นอกจากนี้พรรคพลังประชารัฐยังได้ร่วมผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจจากนวัตกรรม เศรษฐกิจ BCG และส่งเสริมผู้ประกอบการ Start Up”

“พรรคพลังประชารัฐเชื่อมั่นว่า สามารถทำให้เกิดสังคมประชารัฐขึ้นได้ อันจะเป็นสังคมที่สงบสุข เข้มแข็ง และแบ่งปัน ซึ่งสังคมนี้จะเกิดขึ้นได้ ประชาชนจะต้องได้รับสวัสดิการรัฐที่ดี มีเศรษฐกิจประชารัฐคอยส่งเสริมให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นและปลอดภัย พรรคฯ ให้ความสำคัญกับนโยบายความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผมจึงเร่งหน่วยงานด้านความมั่นคงกำกับดูแล จัดทำแผนการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วประเทศ ช่วยป้องกันการกระทำผิด เพื่อนำไปสู่การติดตามคนกระทำผิด และนำตัวมาดำเนินคดีได้อย่างถูกต้อง โดยจะเร่งให้ติดตั้งก่อนร้อยละ ๒๐ ในทุกจังหวัด เพื่อเตรียมพร้อมในการเชื่อมโยงข้อมูลสู่การบริหารจัดการในส่วนกลาง และอีกเรื่องที่จะทำให้เกิดสังคมประชารัฐ คือ การป้องกันและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด พรรคพลังประชารัฐให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะยาเสพติดคือภัยร้ายบ่อนทำลายครอบครัว สังคม และประเทศชาติ เป็นสาเหตุของปัญหาอาชญากรรม ซึ่งรัฐบาลได้จัดทำแผนปราบปรามและป้องกันยาเสพติดในปี ๒๕๖๕ มีมาตรการบำบัดรักษา โดยนำผู้ติดยามารักษาในฐานะผู้ป่วยและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อีกครั้งกับครอบครัว และประกอบอาชีพได้ตามปกติ เหมือนกับคำว่า คือคนสู่สังคม และจะเร่งดำเนินการขจัดปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากประเทศไทย”

จากนั้น เป็นการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ ในระเบียบวาระที่ ๒ รับรองรายงานการประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ซึ่งดำเนินโดยนายสันติ พร้อมพัฒน์ และในวาระการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค แทนตำแหน่งที่ว่าง ๔ คน ปรากฏว่า พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์, พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร, นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ดำรงตำแหน่งแทน


นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๗ ฉบับที่ ๒๗๒๒ ประจำวันพุธที่ ๖ - วันอังคารที่ ๑๙ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๖๕

 


97 1,654