19thApril

19thApril

19thApril

 

May 06,2022

ตร.ภาค ๔ ยึดปืน ๓๐๐ กระบอก จับตาแหล่งผลิต-ร้านจำนำปืน พร้อมรวบคู่หูชิงทองและเงินสด

ตำรวจภูธรภาค ๔ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด ยึดปืนร่วม ๓๐๐ กระบอก จับผู้ต้องหา ๒๕๙ คน ผบช.ภ.๔ ระบุจับตาร้านรับจำนำปืน แหล่งผลิตปืน นอกจากนี้ ยังตามรวบคู่หูโจร ชิงทรัพย์ในพื้นที่ ๓ จังหวัด เน้นทองและเงินสด รวมมูลค่ากว่า ๑.๕ ล้านบาท

เมื่อเวลา ๑๔.๓๐ น. วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ที่ห้องประชุมควรเดชะคุปต์ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๔ (บช.ภ.๔) พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค ๔ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภ.๔  ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค ๔

โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ จำนวน ๒๕๙ คน และตรวจยึดอาวุธปืนรวม ๒๔๑ กระบอก เครื่องกระสุนปืน จำนวน ๒,๑๑๑ นัด เครื่องกระสุนปืนใช้เฉพาะแต่การสงคราม จำนวน ๑๓ นัด และวัตถุระเบิดจำนวน ๔ ลูก โดยเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนจำนวน ๑๓ กระบอก อาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำนวน ๒๒๗ กระบอก มี ๑ กระบอก ที่เป็นอาวุธสงคราม

พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.๔ กล่าวว่า เนื่องจากในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค ๔ มีเหตุคนร้ายนำอาวุปืนและอาวุธสงครามไปใช้ก่อเหตุในหลายคดี ไม่ว่าจะเป็น คดีทะเลาะวิวาททำร้ายกันในงานมหรสพ งานบุญประเพณี คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ ซึ่งมีแนวโน้มในการใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความหวาดระแวงในการใช้ชีวิตประจำวัน จนส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและความมั่นคงในชีวิต และเพื่อให้การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงสั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดคำเนินการตามมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องกันปราบปรามอาชญากรมทุกประเภทไม่ให้เกิดขึ้น พร้อมระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภทในพื้นที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั่วไป และสังคมโดยรวม

“สำหรับปฏิบัติการ ระดมกวาดล้างอาชญากรรม ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค ๔ ระหว่างวันที่ ๒-๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕ จากการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายพร้อมกัน ๑๒ จังหวัดในพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค ๔ จำนวน ๒๕๐ เป้าหมาย สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ จำนวน ๒๕๙ คน และตรวจยึดอาวุธปืนรวม ๒๔๑ กระบอก เครื่องกระสุนปืน จำนวน ๒,๑๑๑ นัด เครื่องกระสุนปืนใช้เฉพาะแต่การสงคราม จำนวน ๑๓ นัด และวัตถุระเบิดจำนวน ๔ ลูก โดยเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนจำนวน ๑๓ กระบอก อาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำนวน ๒๒๗ กระบอก มีจำนวน ๑ กระบอก ที่เป็นอาวุธสงคราม ซึ่งในส่วนของอาวุธสงครามที่ยึดได้นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บก.สส.ภ.๔ ยึดได้จากบ้านของเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขณะนี้การสืบสวนขยายผลจนทราบตัวเจ้าของปืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย”

ผบช.ภ.๔ กล่าวต่ออีกว่า การตรวจยึดอาวุธปืนทั้งหมดนั้นทส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติด และอยู่ระหว่างการขยายผล และตรวจสอบการครอบครองว่าได้มาอย่างไร เนื่องจากว่ามีปืนซีแซดคอมแพค ขนาด ๙ มม.ที่ตรวจยึดได้จากคนขายยาบ้า สืบสวนทราบว่า ซื้อมาจากเพื่อนที่รู้จักกันในคุก เพื่อติดต่อมาขายให้ในราคา ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเมื่อตรวจสอบรายละเอียดพบว่า ปืนกระบอกดังกล่าว มีข้าราชการครูแจ้งหายไว้ที่ จ.บึงกาฬ ซึ่งได้มีการสั่งให้ตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่า ปืนกระบอกดังกล่าวหายจริงหรือไม่ และคนขายเกี่ยวข้องกับปืนกระบอกดังกล่าวอย่างไร นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกจังหวัดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค ๔ ตรวจสอบแหล่งผลิตและขายปืน เพราะการใช้ปืนและซื้อปืนในปัจจุบัน มีการซื้อขายง่ายผ่านทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังให้ตรวจสอบแหล่งรับจำนำอาวุธปืนด้วย เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดเหตุอาชญากรรม ที่เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

นอกจากนี้ เมื่อเวลา ๑๔.๓๐ น. วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๔ จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.๔ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภ.๔ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.๔ ชุดสืบสวน ภ.จว.สกลนคร ชุดสืบสวน ภ.จว.หนองคาย และชุดสืบสวน ภ.จว.อุดรธานี ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายสุชาติ แจ่มสว่าง อายุ ๒๙ ปี อยู่บ้าน ๒๖/๓ หมู่ ๖ ต. หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสว่างแดนดิน ที่ จ.๖๒/๒๕๖๕ ลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕ และนายจิรเมธ กระสินธ์ อายุ ๒๙ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๙/๙ หมู่ ๙ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสว่างแดนติน ที่ จ.๖๓/๒๕๖๕ ลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ในข้อหา ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟไอ สีเทาน้ำเงิน ทะเบียน ๗ กส -๗๒๖๒ ชลบุรี จำนวน ๑ คัน, พระเครื่องหลวงปู่ทวดเลี่ยมทอง จำนวน ๑ องค์, พระเครื่องพระครูเทพอุดรเลี่ยมทอง จำนวน ๑ องค์, รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไม่ติดทะเบียน จำนวน ๑ คัน, กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน จำนวน ๑ ตัว และเสื้อยืดคอกลม สีน้ำเงิน จำนวน ๑ ตัว

พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.๔ กล่าวว่า จากข้อมูลการสืบสวนพบว่าช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ ถึง เดือนมีนาคม ๒๕๖๕ ได้เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ในพื้นที่ จ.หนองคาย ๘ ครั้ง พื้นที่ จ.อุดรธานี ๗ ครั้ง และ จ.สกลนคร ๑ ครั้ง รวม ๑๖ ครั้ง ซึ่งผู้เสียหายได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ในพื้นที่เกิดเหตุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้เสียหายต่างให้การตรงกันว่า คนร้าย ใช้ยานพาหนะ เป็นรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไม่ติดทะเบียน และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟไอ สีเทา น้ำเงิน ทะเบียน ๗ กส-๗๒๖๒ ชลบุรี ขับขี่เข้าประกบผู้เสียหายแล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำ ที่สวมใส่อยู่ที่คอ โดยครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ ๑๘ ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อเหตุกระชากสร้อยคอทองคำหนัก ๒๐ บาทจากคอของภรรยาชาวต่างชาติ ในพื้นที่ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

“พฤติกรรมของคนร้ายทั้งสองรายนี้ มีการดักรอผู้เสียหาย เมื่อสบโอกาสก็ลงมือก่อเหตุ กระชากสร้อยคอทองคำหรือกระเป๋าจากผู้เสียหาย และหากขัดขืนก็จะทำร้ายข่มขู่เพื่อชิงเอาทรัพย์ ชุดสืบสวนร่วมบก.สส.ภ.๔ และชุดสืบสวนทั้ง ๓ จังหวัดร่วมกันสืบสวน เชื่อว่ากลุ่มที่ก่อเหตุ น่าจะเป็นแก๊งเดียวกัน เพราะใช้รถจักรยานยนต์ซ้ำๆ กัน โดยคนร้ายแต่งกายมิดชิดสวมเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว และมีการใส่หมวกกันน๊อคแบบเต็มใบเพื่อปิดบังใบหน้า การก่อเหตุดังกล่าว นับว่าเป็นการก่อเหตุที่เกิดต่อประชาชนจำนวนมาก ในหลายพื้นที่อย่างต่อเนื่องกัน ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อชีวิตทรัพย์สินและก่อให้เกิดความ หวาดกลัวต่อประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุและใกล้เคียง”

ผบช.ภ.๔ กล่าวต่ออีกว่า ขณะเดียวกันยังคงมีการตรวจสอบจากวงจรปิด และตรวจสอบประวัติข้อมูลอาชญากรรม ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ของบุคคลพ้นโทษ ที่มีที่พักอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุทั้ง ๑๖ จุด ก็พบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ คือ นายจิรเมธ และนายสุชาติ ซึ่งมีประวัติในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด วิ่งราวทรัพย์ ลักทรัพย์ และพยายามฆ่า และพ้นโทษมาเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๖๔ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามดูพฤติกรรม จนพบว่า ทั้ง ๒ คน มีภริยา อยู่ในพื้นที่อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี มีการใช้ ยานพาหนะและเสื้อผ้าที่ตรงกับคนร้ายใช้และสวมใส่ในการก่อเหตุ จึงรวบรวมพยานหลักฐาน ให้พนักงานสอบสวน ขอศาลอนุมัติออกหมายจับทั้ง ๒ คน ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สืบทราบว่า บุคคลทั้งสองออกนอกพื้นที่ อ.บ้านดุง กลับไปยังบ้านพักในจังหวัดชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำหมายจับ ติดตามจับกุมตัวได้ทั้ง ๒ คน ได้ที่จังหวัดชลบุรี ควบคุมตัวไว้ ทำการตรวจค้นและยึดของกลางได้บางส่วน พร้อมรถจักรยานยนต์และเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุ

“จากการสอบสวน นายจิรเมธ และนายสุชาติ ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม มีภริยาอยู่ที่อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี รู้จักกัน สนิทสนมกันช่วงที่อยู่ในเรือนจำ เมื่อออกจากเรือนจำมาก็มีแฟน ในอำเภอเดียวกัน จึงร่วมกันวางแผนและก่อเหตุขึ้นจริง โดยการก่อเหตุนั้น จะยืมรถจักรยานยนต์จากคนรู้จักกัน นำมาเป็นยานพาหนะในการก่อเหตุ โดยจะเลือกเอาเฉพาะทองรูปพรรณที่ผู้เสียหายสวมใส่และเงินสดเท่านั้น ส่วนทองรูปพรรณที่ได้มา ก็ตระเวนขายในจังหวัดอื่นและขายในร้านทองที่กรุงเทพมหานครนำเงินมาแบ่งกันใช้จ่าย เที่ยวเตร่ไปทั่ว เมื่อเงินหมดก็จะย้อนกลับไปหาแฟนและร่วมกันก่อเหตุซ้ำอีก” ผบช.ภ.๔ กล่าวท้ายสุด


นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๗ ฉบับที่ ๒๗๒๕ ประจำวันพุธที่ ๔ - วันอังคารที่ ๑๐ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕


1015 1392