5thDecember

5thDecember

5thDecember

 

January 23,2023

‘หมออะตอม’ลุยธุรกิจ รพ. เปิดตัว ‘สยามอินเตอร์เนชั่นนัล’ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวบุรีรัมย์

ประสบความสำเร็จกับคลินิกความงามมากว่า ๑๐ ปี และลงทุนซื้อที่ดินไว้ตามหัวเมืองสำคัญหลายแห่ง ล่าสุดทุ่ม ๕๐๐ ล้าน สร้าง “รพ.สยามอินเตอร์เนชั่นนัล” ขนาด ๕๕ เตียง หรูหราทันสมัยเสมือนโรงแรม รักษาโรค ทางกายแถมได้บำบัดทางใจ บนทำเลทอง “บุรีรัมย์” เมืองท่องเที่ยวที่เศรษฐกิจเติบโตไม่หยุด พร้อมเชิญชวนซื้อหุ้น คาดเปิดบริการได้ปลายปี ๒๕๖๗ ตั้งเป้าเป็นนักธุรกิจพันล้านในช่วงอายุ ๕๐ ปี

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า คลินิกความงาม “อะตอมคลินิก” มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จัก ไม่อยากจะบอกว่า อยู่แค่เมืองไทยเท่านั้น แต่ “นพ.อนุพงษ์ ไพรวิจิตร” หรือ “คุณหมออะตอม” กลับถ่อมตัวว่า “ชื่อเสียงน่าจะแค่ระดับประเทศเท่านั้น” และก้าวสำคัญที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้คือการเปิดตัว “โรงพยาบาลสยามอินเตอร์เนชั่นนัล” บนทำเลทองคือตั้งอยู่ที่เมืองบุรีรัมย์ เมืองที่ใครๆ ก็ว่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเติบโตอย่างกระโดด ซึ่ง “หมออะตอม” เรียนจบแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปี ๒๕๕๑

“โคราชคนอีสาน” ได้โอกาสพูดคุยถึงการลุยธุรกิจนี้ รวมทั้งธุรกิจความงามที่กำลังไปโลดเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันมี ๕ สาขา คือ โคราช เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ขอนแก่น บุรีรัมย์ และสุขุมวิท

 

• ธุรกิจความงามยังเติบโต
“หมออะตอม” บอกว่า ธุรกิจความงามยังเป็นธุรกิจที่ยังเติบโตค่อนข้างสูง อย่างที่มีการทำวิจัยหรือทำโพลออกมาก็พบว่าธุรกิจความงามกำลังไปได้ดี แต่ในภาวะที่กำลังไปได้ดีนั้น ในส่วนของอะตอมคลินิกเริ่มช้าลงจากแต่ก่อน เมื่อเทียบกับช่วงเปิดแรกๆ ที่เติบโต ๕๐% แบบก้าวกระโดดเลย การที่จะมีธุรกิจเติบโตถึง ๕๐% นั้นยากมาก แต่ถึงขณะนี้ธุรกิจความงามก็ยังเติบโตอยู่ เพียงแต่เปอร์เซ็นต์อาจจะลดลง ด้วยภาวะที่คู่แข่งมากขึ้น เศรษฐกิจฝืดเคืองในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งโควิดด้วย ทำให้การเติบโตแทนที่จะเป็น ๕๐% ก็อาจจะเป็นแค่เลขตัวเดียว หรือประมาณ ๑๐ กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองในภาวะเช่นนี้

ก่อนโควิดระบาด เขียนโครงการที่จะขยายเพิ่ม ซึ่งมีแผนจะขยายเพิ่มเกือบทุกปีอยู่แล้ว จริงๆ ถ้าในช่วง ๘ ปีที่ผ่านมา ถ้านับสาขาที่เคยเปิดร่วมกับหุ้นส่วน ก็จะมีทั้งหมด ๘ สาขา ซึ่งบางทีก็ยกให้หุ้นส่วนไปและมีการเปลี่ยนชื่อ ทำให้ในขณะนี้อะตอมคลินิกยังมีเพียง ๕ สาขา

ในปีที่ ๙ วางแผนเปิดสาขาเพิ่มที่กรุงเทพฯ จองพื้นที่ไว้แล้ว ออกแบบเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า โควิดระบาด จึงต้องยุติไป ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย คนเริ่มออกมาจับจ่าย คนไข้ก็เริ่มกลับมามากขึ้นเกือบจะ ๙๐% แล้ว ทำให้ปีนี้มีแผนจะเปิดเพิ่ม รวมทั้งรีโนเวทบางสาขาด้วย เช่นที่บุรีรัมย์ก็ย้ายสถานที่ และอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง

• เริ่มทำธุรกิจที่บุรีรัมย์เมื่อไหร่
น่าจะประมาณ ๘ ปีที่แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วจะเปิดแค่ตามหัวเมือง เช่น ขอนแก่น โคราช กรุงเทพฯ และมีแผนจะเปิดตามหัวเมืองใหญ่ต่อไป แต่ ณ ตอนนั้นเพื่อนที่เป็นหมอด้านความงามก็มาชวนให้ไปเปิดคลินิกด้วยกัน จึงตกลง แต่อาจจะมีความคิดไม่ตรงกันด้านบริหารจัดการ จึงแยกสาขากัน จึงเปิดเป็นของเราเอง ซึ่งเราเห็นว่าการเติบโตของบุรีรัมย์ดีมากในตอนนั้น จึงเปิดต่อมาถึงทุกวันนี้ และยอดขายดีมากเมื่อตอนไปเปิดเมื่อ ๘ ปีที่แล้ว เติบโตมากกว่าเมืองใหญ่ๆ ด้วยซ้ำ

• คิดว่าบุรีรัมย์ยังเติบโตได้อีก
จริงๆ คุณหมอมองว่าบุรีรัมย์มีประชากรค่อนข้างมาก ๑.๖ ล้านคน นับเป็น ๑ ใน ๑๐ อันดับของไทย ถ้าประชากรมากขนาดนี้ก็ต้องมีคนอยากสวยอยากงามค่อนข้างเยอะ ในขณะที่ธุรกิจความงามในบุรีรัมย์ยังมีน้อย จึงมองว่า อย่างน้อยก็ยังสามารถเติบโตได้มากกว่าจังหวัดออื่นที่มีประชากรไม่เยอะและคู่แข่งน้อย

• ทำให้ลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลที่บุรีรัมย์
ก็ถือว่าเป็นเหตุผลหลัก เพราะว่ามองเห็นโอกาสตรงที่บุรีรัมย์มีดีมานต์ค่อนข้างเยอะ มีประชากร ๑.๖ ล้านคน แต่กลับมีโรงพยาบาลเอกชนเพียง ๑ แห่งเท่านั้น มีประมาณ ๑๐๐ เตียง ในขณะที่ขอนแก่นมีประชากรมากกว่ากันนิดเดียวคือประมาณ ๑.๗ ล้านคนแต่มีโรงพยาบาลเอกชนถึง ๔ แห่ง ส่วนโคราชมีประชากร ๒.๖ ล้านคนแต่มีโรงพยาบาลเอกชนรองรับถึง ๙ แห่ง รวมประมาณ ๘๐๐ กว่าเตียง ซึ่งการเกิดโรคของบุรีรัมย์ก็มีเท่ากับจังหวัดที่มีประชากรจำนวนมาก ทำให้เห็นโอกาสตรงนี้ว่า ทำไมเราไม่ไปสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างคุณภาพชีวิตให้คนบุรีรัมย์ให้ดียิ่งขึ้น รองรับคนไข้ได้มากขึ้น มีทางเลือกให้คนไข้มากขึ้น

• เริ่มต้นธุรกิจโรงพยาบาล
ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้เมื่อประมาณ ๕ ปีที่แล้ว ซึ่งปกติก็จะเป็นคนที่เก็งกำไรด้านอสังหาฯ ต่างๆ อยู่แล้ว ตอนนี้ในภาคอีสานก็มีหลายแห่ง จะซื้อตามหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น อุดรฯ หนองคาย สกลนคร มหาสารคาม ก็ไปไล่ซื้อเพื่อเก็งกำไร เพราะเรามองว่า เงินถ้าเอาไปฝากแบงก์ก็สู้เงินเฟ้อไม่ไหวอยู่แล้ว เราจึงมองว่า มีอะไรที่สามารถสู้เงินเฟ้อได้ ตลาดหุ้นมั้ย ซึ่งคุณหมอเป็นคนที่ไม่มีเวลา เพราะว่าต้องทำงาน ๓ วัน ประชุมอีก ๒ วัน แล้วยังต้องขวนขวายหาความรู้และต้องสอนหนังสืออีก ทำให้ไม่มีเวลามานั่งหาข้อมูลในการเก็งกำไรหุ้น จึงมองธุรกิจอื่นที่ซื้อทิ้งไว้ไม่ต้องวุ่นวายกับคนมาก และสามารถเติบโตได้ตามแรงอัตราเงินเฟ้อ หนึ่งในธุรกิจนั้นก็คืออสังหาฯ เพราะเติบโตตามค่าเฉลี่ยประมาณ ๕% ทุกปี โตมากกว่าเงินเฟ้อ แต่โชคดียังไงไม่รู้ เวลาคุณหมอซื้อจะมองว่า เรายอมลงทุนเยอะหน่อย ซื้อที่แพงหน่อย และโชคดีที่หลายๆ แปลงโตขึ้นมากกว่า ๕% บางแปลงโต ๕๐% ๑๐๐% เพราะเรายอมลงทุนซื้อที่ที่แพง

อย่างที่บุรีรัมย์ตอนนั้น ซื้อไว้ราคาประมาณ x แต่ตอนนี้ราคาขึ้นเป็นสองเท่าแล้วภายในสองปี แสดงว่าโตขึ้นถึง ๒๐% พอเรามองเห็นปุ๊บหลังจากผ่านไป ๒ ปี ก็มาคุยกันว่า ที่ดินอยู่กลางเมืองขนาดนี้น่าจะทำอะไรดี มองในลักษณะของนักลงทุนเก็งกำไร ที่จะทำให้ที่ตรงนั้นเติบโตมากกว่า ๒๐% ต่อปี ตอนแรกก็คิดจะทำหมู่บ้านขายดีมั้ย ซึ่งถ้าทำบ้านขายก็ดีตรงที่สร้างเสร็จขายก็จบ ไม่ต้องมาวุ่นวายกับคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญ และต้องคุยค่อนข้างเยอะ ต้องบริหารจัดการค่อนข้างเยอะ แต่เมื่อเริ่มเขียนแบบจะเริ่มโครงการ คุณหมอมีที่โคราชด้วย บุรีรัมย์ด้วย เขียนแบบว่าจะทำโครงการไปด้วยกัน ขายบ้านราคากลางๆ ประมาณ ๓-๔ ล้านบาท หาคนที่สามารถซื้อไหว ในขณะที่กำลังออกแบบอยู่ ที่โคราชก็ได้รับการจัดสรรเรียบร้อยแล้ว โควิดก็มา จึงต้องหยุดโครงการทุกอย่าง คลินิกก็ปิด ๓ เดือน เราก็มานั่งคิดว่ายังมีธุรกิจอะไรบ้างที่ดีมานต์ยังเยอะอยู่ คู่แข่งน้อย การเติบโตยังไปได้ดี และโควิดมาธุรกิจนี้ก็ยังดำเนินไปด้วยดี แถมยังเป็นปัจจัยสี่อีกต่างหาก ก็คือธุรกิจโรงพยาบาล เพราะว่า สุดท้ายแล้วคนก็ยังเจ็บป่วยอยู่ คู่แข่งก็น้อย ตอบโจทย์ ถ้าเราบริหารจัดการดีดี ซึ่งด้วยประสบการณ์ที่สะสมมาเป็นเวลาสิบกว่าปี จึงมองว่าเราโตพอที่จะเริ่มธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นไหม จึงเริ่มเขียนโปรเจ็กต์ เขียน Business plan (แผนธุรกิจ) นั่งเขียนประมาณ ๓ เดือน ไม่มีประสบการณ์ในการเขียน ต้องอ่านหนังสือไปด้วย เขียนไปด้วย จึงใช้เวลานานนิดหนึ่ง บวกกับทำรีเสิร์ชไปด้วย เก็บข้อมูลต่างๆ พบว่า เป็นธุรกิจที่ดีมาก ตอนนั้นที่คุณหมอทำ Business plan  ออกมาทั้งโรงพยาบาลและโรงแรม เพราะบุรีรัมย์เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เติบโตสูงในภาคอีสาน พบว่าธุรกิจโรงแรมคืนทุนเร็วกว่าโรงพยาบาลด้วยซ้ำ เพราะลงทุนน้อยกว่า แต่ ๑.ไม่ใช่ปัจจัยสี่ ๒.แล้วถ้าโควิดกลับมาอีก โรงแรมก็อาจจะแย่ หากโรงแรมเก่าใครจะมานอน จะคิดไปว่าตัวตึกเก่า เซอร์วิสจะแย่หรือเปล่า อุปกรณ์ต่างๆ แย่ไหม ผีดุหรือเปล่า แต่ “โรงพยาบาลยิ่งแก่ยิ่งเก่า คนยิ่งเชื่อถือ” ยิ่งสร้างชื่อเสียงมานาน ยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น จึงมองว่าถ้าเราจะเกษียณด้วยโรงพยาบาลก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าอีก ๒๐ ปีข้างหน้าคุณหมออายุ ๖๐ คลินิกความงามอาจจะเอาท์แล้วสำหรับเรา อาจจะมีเด็กรุ่นใหม่มาทำแล้วดีกว่า เราจะเกษียณด้วยโรงพยาบาลนี่แหละ ตอนนั้นเมื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแล้วจึงสานต่อธุรกิจโรงพยาบาล เขียนโปรเจ็กต์เสร็จเรียบร้อย

• โรงพยาบาลรักษาโรคทั่วไป
จริงๆ หลังจากที่เราไปทำรีเสิร์ชดูดีมานต์ของคนบุรีรัมย์พบว่า เขายังขาดหลายๆ อย่างในด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นรักษาโรคทั่วไป ฉุกเฉิน ภาวะมีบุตรยาก แม่และเด็ก ฟอกไต ซึ่งโรคทั่วไปคนบุรีรัมย์ก็ยังขาดอยู่ ไม่ใช่แค่ด้านความงามด้านศัลยกรรมอย่างเดียว แต่ด้านนี้ก็ยังขาดอยู่ ดังนั้น จึงเปิดเป็นโรงพยาบาลทั่วไปเพื่อรองรับด้านสุขภาพของคนบุรีรัย์ให้ครบวงจร

• การออกแบบทันสมัย ไม่เหมือนโรงพยาบาล
คุณหมอเดินทางไปเกือบทั่วโลก แทบจะเดือนเว้นเดือน ชอบไปหาสิ่งใหม่ๆ บางครั้งก็ พาพนักงานไปด้วย เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และเจอโลกใหม่ๆ ว่า แต่ละแห่งไปถึงไหนแล้ว เขามีป้ายโฆษณาแบบไหนบ้าง เขาใช้คำในการโฆษณาอย่างไรบ้างหรือว่าเขาเซอร์วิสอย่างไร ได้เห็นโรงแรม เห็นการปูผ้า เป็นต้น ปรากฏว่า คุณหมอก็ไปเจอโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ออกแบบได้ดีมาก ตอนนั้นไปสวีเดน เห็นดีไซน์ในเรื่องการวาง Position ของสวนให้คนนั่งพักผ่อนรอ รู้สึกชอบมาก รู้สึกผ่อนคลาย นั่งได้นาน จึงนำมาเป็นแบบ และคิดว่า “โรงพยาบาลของฉันต้องเป็นแบบนี้” โดย ๑.เป็นโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ ๒.ทันสมัย ๓.เป็นโรงพยาบาลที่ไม่ใช่โรงพยาบาล มีความ Cozy หน่อยๆ เหมือนมาพักผ่อนในรีสอร์ต หรือมาเที่ยว เราไม่ได้รักษาแค่อาการทางกายแต่อยากเข้าถึงจิตใจคนไข้ด้วย

• การลงทุนโรงพยาบาล
ถ้าให้ลงทุนเองทั้งหมดก็ใช้เงินค่อนข้างสูงมาก หมอส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยเปิดโรงพยาบาล แต่เปิดเป็นคลินิกมากกว่า แป๊บเดียวก็คืนทุนแล้ว อย่างคลินิกที่บุรีรัมย์ของคุณหมอไม่ถึงปี ก็คืนทุน ส่วนคลินิกใหญ่ๆ อาจจะ ๓-๕ ปี จึงคืนทุน คุณหมอมองว่า งบลงทุนสูงมาก จะทำอย่างไรให้เปิดได้ด้วยงบที่เรามีอยู่จำกัด หนึ่งก็อาจจะต้องกู้แบงก์ ถ้ากู้แบงก์ส่วนหนึ่ง คุณหมอลงทุนส่วนหนึ่งก็ได้ แต่ก็ได้แค่เราคนเดียว ซึ่งธุรกิจนี้ คุณหมออยากให้คนบุรีรัมย์ร่วมด้วย อยากให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม จึงเปิดขายหุ้นบางส่วนเพื่อให้เขามามีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัด พัฒนา โรงพยาบาลที่เขาอยากให้เป็น อาจจะมีแนวคิดของเราเป็นหลักในการบริหารจัดการแต่ว่า  ในระหว่างทางอาจจะมีความคิดของคนในพื้นที่มาร่วมด้วย น่าจะดีกว่า เพื่อขับเคลื่อนไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น การลงทุนของคุณหมอในงบทั้งหมด ๕๐๐ กว่าล้านบาท อาจจะเป็นของคนในพื้นที่บ้าง

ตอนนี้มีการเชิญชวนให้เข้ามาซื้อหุ้น และมีคนสนใจเยอะมาก รอบแรกเปิดขายไป ๑๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ มีเพื่อนๆ และคนในพื้นที่ซื้อหมดแล้วใน ๑๐% ขณะนี้ราคาพาร์หรือราคาต่อหน่วยก็เริ่มแพงขึ้น เพราะว่าโครงการทั้งหมด ๕๐๐ ล้าน คุณหมอก็จะขายในราคาบวกลบ คนที่ซื้อในล็อตแรกอาจจะได้ราคาถูก แต่ตอนนี้ราคาก็ขยับแพงขึ้นเรื่อยๆ จนโครงการเปิดก็อาจจะแพงมากกว่านี้
ความจริงเปิดขายแค่ ๔๕% เพิ่งเริ่มเปิดขายไปเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๕ ขายไปแล้ว ๑๐% โดยคุณหมอและทีมจะถือหุ้น ๕๕% ตอนนี้โรงพยาบาลก็เริ่มก่อสร้างแล้ว ยังขายหุ้นไม่หมด ทยอยขาย เราอยากขายในราคาที่สูงขึ้น เพราะว่า เงินบางส่วนก็ต้องนำมาซื้อเครื่องมือแพทย์ และตกแต่ง

• จำนวนเตียง
ตอนแรกอยากให้มีจำนวนเตียงมากๆ แต่ก็ติดเรื่องกฎหมาย EIA ซึ่งกฎหมายก่อนปี ๒๕๕๙ ระบุว่า หากเป็น ๑๐๐ เตียงขึ้นไปต้องทำ EIA  แต่กฎหมายใหม่ของปี ๒๕๕๙ และเราเป็นผู้เล่นใหม่ ประสบการณ์เรื่องนี้ยังน้อย จึงทำเป็นโรงพยาบาลขนาด ๕๕ เตียง

• ทำเลที่ตั้ง และที่ดิน
ตอนที่ทำสัญญาซื้อขายที่ดินระบุว่า ๓ ไร่ ๓ งาน ๓๐ กว่าตารางวา ก็เกือบ ๔ ไร่ แต่พอจ้างเอกชนไปรังวัดก็เหลือเพียง ๓ ไร่กับอี ๒ งาน  กว่าๆ โดยตั้งอยู่บนถนนบุรีรัมย์-นางรอง ต.ชุมเห็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์

• บุคลากรพร้อม
บุคลากรทางการแพทย์เราสามารถหามาได้ เพราะว่าที่บุรีรัมย์ก็กำลังจะเป็นโรงพยาบาลศูนย์ มีแพทย์เก่งๆ มารวมกันอยู่ที่บุรีรัมย์อีกเยอะมาก ส่วนพยาบาลเราก็มีการพูดคุยไว้แล้ว เพื่อให้มาช่วยบริหารจัดการ เพราะทีมพยาบาลน่าจะเป็นกำลังหลักในการบริหารจัดการ ส่วนด้านอื่นๆ ก็ต้องรอเวลาที่ใกล้ๆ จะเปิด

• กำหนดเปิดบริการ
ถ้าก่อสร้างแล้วเสร็จจริงๆ น่าจะประมาณ ๓ ปี แต่ว่าภายใน ๒ ปีนี้อยากจะให้เปิดบริการในบางส่วนก่อน โดยจะพยายามเปิดให้ทันในปลายปี ๒๕๖๗ ในบางแผนก

• หลักในการบริหารธุรกิจที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
หมอว่าการบริหารงานก็อยู่ที่เราล้วนๆ สิ่งที่ คนเรามีเท่ากันคือเวลา ในเวลาที่เท่ากันนี้เราจะ Manage อย่างไรให้ Complete ทุกงานได้ ที่ผ่านมา ก็อย่างที่บอกคือคุณหมอทั้งเที่ยวด้วย ทำงานด้วย สอนหนังสือด้วย คลินิกความงามสกินแคร์ และอสังหาฯ ก็ถือว่าเยอะมาก ก็อยู่ที่เราว่าจะบริหารจัดการอย่างไร ทุกวันนี้ กลับบ้านก็อ่านหนังสือบ้าง เพราะมีนวัตกรรมใหม่ตลอดเวลา ก็ต้องหาความรู้ตลอด อาจจะเป็นเรื่องที่เราสนใจหรือด้านความงาม รวมทั้งด้านอื่นๆ เวลาที่มีงานวิจัยตีพิมพ์

ดังนั้น หมอก็ต้องแบ่งเวลาให้เหมาะสม บางคนก็ไม่เข้าใจคำว่าเหมาะสม ต้องบริหารจัดการของเราให้เป็น ให้เหมาะสม เช่น บางคนบอกว่าเปิดร้านอาหารแค่ร้านเดียวทำไมดูไม่มีเวลาเลย แสดงว่าบริหารจัดการไม่เป็น วางระบบไม่ดี ในส่วนของอะตอมคลินิก ตอนที่เปิดสาขาแรกก็ยุ่งมาก พอมี ๒-๓ สาขาความยุ่งน้อยลง ได้เที่ยวมากขึ้น บางปีอยู่ต่างประเทศ ๖ เดือน หมอว่าอยู่ที่การบริหารจัดการ ต้องวางระบบงานให้เป็น ยิ่งมีสาขามากเท่าไหร่ระบบยิ่งสำคัญ ซึ่งอะตอมคลินิกมีระบบที่ค่อนข้างเข้มแข็งมาก ช่วงโควิดพนักงานออกเกือบ ๔๐ คน แต่งานเราแทบจะไม่ล้ม แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง แทบจะไม่ ผิดพลาดอะไรเลย เพราะเรามีระบบที่แข็งแรง คนนั้นออกคนนี้เข้า เราก็ยังสามารถจัดการได้

 

• คุณภาพการให้บริการเป็นที่ยอมรับ
ต้องบอกตามตรงว่า ที่ทำรีเสิร์ชมาเรามองว่า กลุ่มลูกค้าของเราที่เป็น Premium Mass เป็นคนไข้ที่มีเงินในระดับหนึ่งที่ยังขาดที่รองรับ ซึ่งโชคดีที่คนไข้กลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง เมื่อมีเงินจ่ายก็ต้องเลือกหมอที่เก่งและการบริการที่ดี โรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ เราจึงมุ่งไปที่กลุ่มนี้ ซึ่งกลุ่มนี้กับคลินิกเป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกัน แต่คลินิกอาจจะสูงกว่าหน่อยเพราะเป็น Mass หรือพรีเมียมจ๋าเลย จนถึงไฮเอนด์ แต่ในส่วนโรงพยาบาลก็อาจจะลดลงมาหน่อย เพื่อให้กว้างขึ้นและมีลูกค้ามากขึ้น เพราะฉะนั้น การบริการก็จะนำบริการของคลินิกไปใช้กับโรงพยาบาลได้ไม่ยาก

• ตั้งเป้าความสำเร็จของธุรกิจและตัวเอง
คุณหมอว่าทุกคน ตั้งแต่เรียน อยู่บ้าน ออกมาทำงาน ล้วนมีเป้าหมายในชีวิตว่า เราอยากเห็นตัวเองในรูปแบบไหนในตอนอายุ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ๖๐ ๗๐ ซึ่งคุณหมอก็มีเป้าหมายในชีวิตตัวเองว่า “ฉันเกษียณ ฉันอยากมีธุรกิจที่อยากจะทำ และมีตึกสูงๆ” เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ที่เข้ากรุงเทพฯ ตอนนั้นเป็นเด็กมัธยมไปแข่งขันทางวิชาการ เห็นตึกชื่อนั้นชื่อนี้ ตึกสูงๆ เราอยู่ต่างจังหวัดก็เห็นแค่ตึกเตี้ยๆ พอได้เห็นตึกสูงๆ มีชื่อนั้นชื่อนี้ก็ใฝ่ฝันว่า “ฉันจะตั้งใจเรียนเก็บเงินและสร้างตึกแล้วมี ชื่อฉัน” พอโตมาก็เลยมีเป้าหมายว่า จะหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อสร้างตึก จนเปิดคลินิกเราก็เลยมีเป้าหมายว่าจะทำให้ได้ร้อยล้านเพื่อจะมีเงินมา สร้างตึก แต่พอเราโตขึ้นคลินิกก็ทะลุเป้าหมายของเราแล้ว Pasion ก็เริ่มหมด เงินที่จะสร้างตึกก็สร้างได้ ถ้าเราสร้างหอพัก แล้วอายุ ๖๐ ยังมานั่งจดมิเตอร์ไฟมานั่งเก็บเงิน ก็ไม่ไหว ก็เลยมานั่งคิดว่า อ๊ะ…ฉันจะมีตึกแล้วล่ะ จะถึงเป้าหมายเราแล้ว แต่ตึกนั้นจะต้องเยยวยาและจุนเจือเราด้วยในอนาคต ก็เลยมีเป้าหมายใหม่ว่า ฉันจะต้องมีเงินสัก… เวอร์ไปหรือเปล่าไม่รู้ ตอนนั้นร้อยล้าน คือตอนนี้อยากมีสินทรัพย์สักหมื่นล้าน

• อายุ ๕๐ ปีมีทรัพย์สินหมื่นล้าน
ตั้งไว้ประมาณ ๕๐ ปี (ปัจจุบันอายุ ๔๐ ต้นๆ) เป็นคนมีเป้าหมาย ตอนที่ตั้งเป้าว่าหมื่นล้านก็มานั่งคิดว่าเราจะทำธุรกิจอะไร ตอนแรกก็มองอสังหาฯ ยอดขายสัก ๕๐๐ ล้านต่อปี เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ดีมั้ย แต่อย่าลืมว่าอสังหาฯ ก็มีช่วงขึ้นช่วงลง ขายได้ขายไม่ได้ ก็ยาก เลยกลับมาดูจุดแข็งของเรา เคยทำงานในโรงพยาบาล เคยเป็นผอ.โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในไทย (รพ.บ้านเหลื่อม จ.นครราชสีมา) จุดแข็งของตัวเอง ก็คือเป็นหมอมาทั้งชีวิต โรงพยาบาลนี่แหละตอบโจทย์ เพราะยอดขายของโรงพยาบาลสามารถโตได้เรื่อยๆ เล่นอะไรได้เยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่อง Skin อย่างเดียว แผนก Skin ที่ทำมา ๑๐๐ ล้าน ๒๐๐ ล้าน ก็แค่แผนกสกิน ๓๐๐ ล้านก็โตตามสเกลของมัน แต่โรงพยาบาล แผนกนี้ร้อยล้านๆ ได้เยอะมาก Unlimited หมอก็เลยมองว่า โอเค..ธุรกิจนี้แหละที่จะโตได้เยอะ และเราจะปั้นมันให้เป็นลูกรัก บ่มเพาะ และอีก ๑๐ ปีข้างหน้าจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ ซึ่งเรามองว่า ถ้าจะไปถึงหมื่นล้านจะต้องปั้นธุรกิจให้มีรายรับประมาณพันล้าน ซึ่งแค่หนึ่งแห่งอาจจะไม่พอ อาจจะมีสาขา ๒ สาขา ๓ ต้องลองดู ถ้าเมื่อไหร่ที่รายรับพันล้าน การนำเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อที่จะได้หมื่นล้านก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าถึงตอนนั้น ก็คิดว่าเราประสบความสำเร็จใจชีวิตแล้ว ตายตาหลับแล้ว (หัวเราะ) หรืออาจจะมีเป้าหมายใหม่

• คิดจะสร้างธุรกิจโรงพยาบาลในโคราชหรือไม่
คุณหมอไม่ได้เป็นนักการตลาดที่เก่งมาก เราเป็นหมอ ไม่ได้เรียนจบการตฃลาด ทุกวันนี้ที่รู้เรื่องการตลาดเพราะเรียนรู้เอง เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากการตลาดก็เอามาใช้กับตัวเอง เช่น ที่ไหนมีดีมานต์ก็ไปทำที่นั่น ซึ่งบุรีรัมย์มีดีมานต์ มีความต้องการ และมาร์เก็ตแชร์มีส่วนสำคัญเพราะว่า ตอนที่หมอเปิดคลินิกที่โคราช ขอนแก่น กรุงเทพฯ และเมืองรองอย่างบุรีรัมย์ พบว่า คืนทุนเร็วมาก ในขณะที่โคราชและขอนแก่นกว่าจะคืนทุนก็หลายปี กรุงเทพฯ แทบไม่ต้องพูดถึง บุรีรัมย์เป็นที่เดียวที่ไม่ถึงปีก็คืนทุน เพราะฉะนั้น จากประสบการณ์ตัวเอง ดังนั้น มาร์เก็ตแชร์เป็นสิ่งสำคัญ พอเราเห็นปัญหาตรงนี้ ถ้าเทียบกับโคราชซึ่งมีโรงพยาบาลเอกชน ๙ แห่ง แต่บุรีรัมย์มีแค่ ๑ แห่ง มาร์เก็ตแชร์ก็ต่างกันแล้ว ประชากรอาจจะไม่ต่างกันมาก แต่มาร์เก็ตแชร์ต่างกันแบบ ๘๐๐-๙๐๐% แล้วแบบนี้จะไม่อยากไปเปิดที่บุรีรัมย์หรือ? แต่ที่โคราชก็เคยมอง เพราะซื้อที่ไว้เส้นที่กำลังทำสาย ฉ ซื้อไว้ตั้งแต่ยังไม่ทำ จนถนนตัดผ่าน ได้ค่าเวนคืน อย่างที่บอกแล้วว่าชอบลงทุนอสังหาฯ ก็ซื้อ ที่แปลงนั้นก็สามารถสร้างโรงพยาบาลได้ แปลงใหญ่กว่าด้วย แต่ไม่ทำ เพราะมาร์เก็ตแชร์เยอะ ยาก แต่สมมุติว่าเราทำ ก็คงต้องมานั่งทำ SWOT หาจุดแข็งจุดอ่อน สุดท้ายถ้าจะต้องทำคุณหมอจะต้องเป็น Specialist Hospital เฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง เพราะถ้าไปแข่งกับโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้ว และเป็นเชนที่ดังด้วย เราคงแข่งยากมาก

• รพ.สยามอินเตอร์เนชั่นนัล
อยากทำโรงพยาบาลนี้ให้ครอบคลุมการดูแลสุขภาพของทุกคน ทั้งจิตใจ ร่างกาย อารมณ์และจิตวิญญาณ ถ้าทุกคนรู้สึกว่า เจ็บป่วยหรือไม่เจ็บป่วยก็ได้ หรือมีอะไรที่อยากมาปรึกษาก็ให้คิดถึงเราเป็นลำดับแรก เราจะเป็นโรงพยาบาล ที่ดีที่สุดมีมาตรฐานที่สุด รับรองว่าบริการดีที่สุดในบุรีรัมย์แน่นอน

อยากบอกคนบุรีรัมย์ว่า ไม่ได้แข่งกับใคร โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งเราก็มองว่าเป็นเพื่อนที่ร่วมทำธุรกิจด้วยกัน ซึ่งกลุ่มลุกค้าของเราก็อาจจะซ้อนทับกัน แต่หมอก็อยากเป็นทางเลือกและโอกาสให้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่จะมาใช้บริการ คนกลุ่มนี้ถ้าเขาไม่ Emergency มากๆ เขาก็จะไปใช้บริการที่โคราช สุรินทร์ ขอนแก่น คุณหมอมองว่า คนบุรีรัมย์เสียโอกาส ในการที่ต้องเดินทางไกล เราจึงอยากให้เขาเดินทางใกล้ๆ และถือว่าเป็นธุรกิจท้องถิ่นด้วย

จริงๆ คุณหมอก็เป็นคนบุรีรัมย์ คนสุรินทร์นั่นแหละ บ้านคุณหมออยู่ติดบุรีรัมย์ เดินทางสุรินทร์ โคราช บุรีรัมย์ เป็นคนสุรินทร์ บ้านอยู่ตำบลเมืองลีง อำเภอจอมพระ อยู่ติดบุรีรัมย์ มีค่ายลูกเสือไพรวิจิตร มีรีสอร์ต มีแพ มีฟาร์มหมูฟาร์มจระเข้ เข้ามาอำเภอสตึกบ่อยมาก เพราะว่าใกล้มาก คุณหมอมาเรียนอยู่โคราชตั้งแต่ป.๑ ที่มารีย์วิทยา ซึ่งจะเดินทางผ่านบุรีรัมย์ตลอด ถือว่าเราเป็นลูกหลาน คนบ้านเดียวกัน เราอยากพัฒนา ขนาดเปิดคลินิกเราก็อยากเปิดแถวนี้ อยากพัฒนาคน พัฒนางาน อยากให้คนในพื้นที่มีงาน มีเงิน มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และอยากเห็นจังหวัดเจริญเติบโต อย่างน้อยถ้าวันหนึ่งที่คนบุรีรัมย์พูดว่า สยามอินเตอร์เนชั่นนัลเกิดมาจากบุรีรัมย์ เหมือนที่ทุกวันนี้คนพูดว่า อะตอมคลินิกเกิดจากโคราชและเติบโตดังระดับประเทศได้ คนบุรีรัมย์ก็ภูมิใจ คนโคราชก็ภูมิใจ อีกอย่างคือถ้าธุรกิจโรงพยาบาลเติบโตเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ก็จะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่คนบุรีรัมย์ภูมิใจ จากที่มีอยู่แล้วอย่างสนามฟุตบอล สนามแข่งรถ โรงแรมเชนใหญ่ๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

• งานอดิเรกหรือกิจกรรมอื่นนอกจากท่องเที่ยว
เล่นเกม จริงๆ ก็เหมือนคนทั่วไป ตอนเด็กๆ เรายังอ่านนิยาย เล่นเกม พอโตมาเวลาว่าง อย่างทำงานเราทำเต็มที่ พักผ่อนก็นอนเต็มที่ บางวันนอน ๑๘-๒๐ ชั่วโมง จนแฟนบอกว่านอนได้ไง นอนเหมือนคนตาย เวลากินข้าวเสร็จก็จะดูซีรียส์ ดูหนัง ดูสตรีมเกม แล้วตัวเองก็เล่นเกมด้วย เพราะหมอเชื่อว่าการแข่งเกมเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง สนุก มีแพ้มีชนะ แพ้ก็เล่นใหม่ ชนะก็แฮปปี้ เป็นเหมือนการผ่อนคลาย

วิรดา ลักษวุธ : สัมภาษณ์และเรียบเรียง

นสพ.โคราชคนอีสาน ปีที่ ๔๘ ฉบับที่ ๒๗๔๙ วันที่ ๑๕ มกราคม - วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖

 


   


148 1,960