26thJune

26thJune

26thJune

 

December 04,2023

‘เชิดชู’ หรือ ‘ทำมาหากิน’ กับชื่อ ‘อิศรา อมันตกุล’

 

ในรอบร้อยปีที่ผ่านมานี้ มีนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ไม่น้อยที่จากโลกนี้ไป ในจำนวนนี้มีอยู่ไม่กี่ท่าน ที่แม้ตายไปแล้วเสมือนยังอยู่ เพราะผลงานของท่าน การดำรงชีวิตของท่านส่งให้เกียรติยศเกียรติภูมิของท่าน สูงเด่น เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไป รวมทั้งนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ และรวมทั้งนักเขียน

เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ท่านเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๒ เพื่อนๆ น้องๆ ได้พยายามก่อตั้ง มูลนิธิอิศรา ขึ้นเพื่อรำลึกถึง (ผมใช้คำว่า พยายาม เนื่องจากกว่าจะสำเร็จเป็นมูลนิธิก็ใช้เวลาถึง ๒ ปี เพราะต้องหาทุนดำเนินการก่อตั้ง)   

และในฐานะที่ท่านเป็นนายกสมาคมนักข่าวคนแรก (ปี ๒๔๙๙-๒๕๐๐-๒๕๐๑) ในแต่ละปีที่สมาคมนักข่าวมอบรางวัลข่าว และภาพดีเด่น จึงให้เรียกรางวัลแห่งเกียรติยศนั้น เป็น “รางวัลอิศราฯ”

ประธานมูลนิธิคนแรกคือ สนิท เอกชัย ช่วงนั้นท่านเป็นบรรณาธิการอยู่ที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

มูลนิธิอิศราฯ มาโด่งดังเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ก็เมื่อ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นักข่าวมือฉมังออกจากหนังสือพิมพ์มติชน มาประจำที่มูลนิธิฯ และก่อตั้งเป็นสำนักข่าวอิศรา ขุด เจาะข่าวที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น และได้เงินสนับสนุนจาก  สสส. ซึ่งน่าจะมากโขอยู่ เพราะสำนักข่าวจากภูมิภาคยังได้อาศัยขอเงินสนับสนุนจากมูนิธิอิศราฯ จัดกิจกรรมโน่นนี่อยู่ทุกปี (ต่างกับการก่อตั้งมูลนิธิอิศราฯ ที่เล่าแต่แรกว่าเป็นไปด้วยความยากลำบาก)

การดำรงอยู่ และการดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิอิศราฯ เป็นไปด้วยดี และคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถตั้ง “มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย” ให้การศึกษา ให้ความรู้ แก่บรรดานักข่าวทั้งหลาย ซึ่งแม้ว่าจะผ่านการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์ หรือวิชาการหนังสือพิมพ์ จากสถาบันใดๆ ก็ตาม ก็คงจะยังไม่พอ

เพราะทุกวันนี้ เสียงสะท้อนของประชาชนทั้งหลาย ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อสื่อมวลชนทั้งหลายหนาหูยิ่งขึ้นกว่าสมัยที่ยังไม่มีการสอน การอบรม วิชาการด้านวารสาร ด้านสื่อมวลชน ด้านการหนังสือพิมพ์เสียอีก

และมาตอนนี้ มีการตั้ง “บริษัท อิศราไทยเพรสเดเวลอปเมนต์” ขึ้นมาอีก

บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๕ ปีหนึ่งผ่านมาแล้ว โดยผู้ถือหุ้น ๔ รายด้วยกันคือ มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนถือหุ้น ๙๙,๙๙๗ หุ้น ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ๑ หุ้น, ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ๑ หุ้น และ นาตยา เชษฐโชติรส ๑ หุ้น

แน่นอนการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาก็ต้องแสวงหาผลกำไร เช่นเดียวกับบริษัททั้งหลายทั้งปวง ไม่เว้นแม้บริษัทอิศราไทยเพรส เดเวลอปเมนต์ ที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้

ปัญหาที่ชวนให้คิดก็คือ มูลนิธิอิศรา กับ สถาบันพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย เกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือไม่ ถ้าเกี่ยวข้องกัน เกี่ยวข้องอย่างไร จะพัฒนาสื่อ ใช้มูลนิธิอิศราพัฒนาไม่ได้หรือ มันไม่คล่องตัวในการจับจ่ายใช้สอยหรืออย่างไร

 

และทำไมต้องตั้งบริษัท อิศราไทยเพรสฯขึ้นมาอีก เพื่อให้จับจ่ายใช้สอยง่ายขึ้น หรือเพื่อแสวงหากำไร

ท่านประธานกรรมการ กรรมการมูลนิธิอิศรา เห็นดีเห็นงาม ด้วยหรือไม่?

ถ้าหากหวังจะเชิดชู อิศรา อมันตกุล ทำไมไม่บอกกล่าว นักข่าว นักหนังสือพิมพ์คนอื่นๆ ให้ช่วยกันเสียสละควักเงิน ออกมาถือหุ้นด้วย

ทำไมจึงจำกัดวงอยู่เพียง ๓ คนเท่านั้น
ที่สำคัญการใช้สถานที่ คือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ เป็นที่ทำการของบริษัทนั้น ผมเชื่อว่า จิตวิญาณของอิศรา อมันตกุล จะต้องไม่เห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแน่นอน 

เอาว่า เราเคยด่า เราเคยวิพากษ์วิจารณ์ ลูกหลานทหาร ที่เอาบ้านพักของพ่อ มาตั้งบริษัทรับงานโน่นนี่แสวงหากำไร ระดับคุณธรรมที่ไม่ค่อยจะลึกซึ้งอย่างเราๆ ยังไม่เห็นด้วย

คิดหรือว่า บุรุษอย่าง ‘อิศรา อมันตกุล’ จะเห็นดีเห็นงาม
อิศรา อมันตกุล เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๒ นาน ๕๔ ปีมาแล้ว ท่านผู้เป็นใหญ่ในวงการหนังสือพิมพ์ก็ดี มูลนิธิก็ดี สถาบันก็ดี จะซาบซึ้งถึงจิตวิญญาณ วัตรปฏิบัติ ความเป็นนักหนังสือพิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่ของ อิศรา อมันตกุล สักเท่าไหร่ ผมก็ไม่แน่ใจนัก!

 

คุณเกษม อัชฌาสัย เพื่อนที่เคยร่วมชายคาสยามรัฐ เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ถามผมว่า “เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”   

ผมตอบไปว่า นั่นสิ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมก็สงสัยอยู่ จึงได้ตั้งคำถามว่า เชิดชู หรือ ทำมาหากินกับชื่อ อิศรา 

นักข่าวสุภาพสตรีคนหนึ่ง ถามมาว่า ใครได้เงิน?

ผมตอบไปว่า ผมไม่ทราบหรอกว่าใครได้เงิน หรือไม่ได้เงิน ถ้ามีใครได้จะเป็นการทุจริตหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยเหตุแลผลทุกประการ

ขอบอกกล่าวให้ทราบว่า อิศรา อมันตกุล นั้น เป็นนักหนังสือพิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่ยอมรับของนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ทุกคน แม้แต่นักข่าวนักหนังสือพิมพ์ที่ทำงานให้กับฝ่าย ตรงข้ามที่ อิศรา อมันตกุล ทำ เช่น หนังสือพิมพ์ที่ใช้เงินทุนของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, เผ่า ศรียานนท์ หรือ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

เพราะ อิศรา อมันตกุล คือแบบอย่างของนักหนังสือพิมพ์ที่ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีความด่างพร้อยด้วยประการทั้งปวงไม่ค้อมหัวให้เผด็จการ

เมื่อท่านเสียชีวิตลงจึงได้มีการก่อตั้ง มูลนิธิอิศรา อมันตกุล ขึ้นด้วยความยากลำบาก เพราะขัดสนเงินทอง (ตามประสาคนหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่) การเชิดชูคนหนังสือพิมพ์ ก็ทำได้แค่ยกย่องให้รางวัล เป็นรางวัลอิศราฯ ด้านข่าวดีเด่น ภาพถ่ายดีเด่นเท่านั้นเอง
ต่อเมื่อมีภาษีบาป คือภาษีเหล้าผ่านมาจาก สสส. นั่นดอก มูลนิธิอิศรา จึงมีแรงจัดตั้งสำนักข่าวอิศราขึ้น และสร้างชื่อเสียงให้กับมูลนิธิ

ถามว่า ดีไหม? 

ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม แม้กระทั่งนำมาซึ่งการตั้งมูลนิธิพัฒนาสื่อ ก็ถือว่า อยู่ในขอบเขตที่รับกันได้

แต่เมื่อนำเงินมาตั้งบริษัทอิศราไทยเพรสดีเวลลอปเมนท์นี่สิ ทำให้ผมนึกถึง น้าเติม (ทองเติม เสมรสุต) เสนีย์ เสาวพงษ์, นรา พฤตินันท์, สนิท เอกชัย ซึ่งเป็นเพื่อนๆ ของอิศรา จะคิดอย่างไร

แม้คนรุ่นหลังอย่าง โชติ มณีน้อย, ทวี เกตะวันดี, นเรศ นโรปกรณ์, โชติ ทัศนียะเวศ, ปรีชา สามัคคีธรรม จะยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือ?

 

อิศรา อมันตกุล

ที่ไม่ยอมก็เพราะ มีมูลนิธิอิศรา อมันตกุล ขึ้นมาแล้ว มีมูลนิธิพัฒนาสื่อฯ ขึ้นมาแล้ว จะมาตั้งบริษัทอิศราขึ้นมาทำไม
ก็รู้กันอยู่แล้วว่า บริษัทจะต้องแสวงหากำไร พวกคุณจะแสวงหากำไรให้มูลนิธิอิศรา หรือมูลนิธิสื่อหรือ? บริษัทอิศราไทยเพรสฯ จะทำโรงพิมพ์ หรือจะทำหนังสือพิมพ์หรือ?

ที่สำคัญ คุณสามคน คือ คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ก็ดี คุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ก็ดี คุณนาตยา เชฎโชติรส ก็ดี ไม่ได้เป็นลูกหลานว่านเครือของ อิศรา อมันตกุล สักหน่อย ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ ที่เอาชื่อของ อิศรา อมันตกุล มาตั้งบริษัท หรือพูดตรงๆ ก็คือ เอามาทำมาหากิน

อิศรา อมันตกุล เป็นของนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ทุกคนที่มีวัตรปฏิบัติอันดีงาม เข้มงวดกับจริยธรรม เข้มงวดกับจรรยาบรรณ

ต้องถามไปยังกรรมการมูลนิธิอิศราฯ แล้วละครับว่า ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างหรือ

ต้องถามไปยังบรรดานักข่าว นักหนังสือพิมพ์ทั้งหลายแล้วละครับ ว่าปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

แน่นอน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ปรีชา สามัคคีธรรม, เชาว์ รูปเทวินท์, สมเจตน์ วัฒนาทร ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ต้องคัดค้านขันแข็ง
หรือว่าวงการสื่อ วงการหนังสือพิมพ์ก้าวไปสู่ยุคเสื่อม สุดแล้วในวันนี้ จึงได้แต่เงียบงันอยู่เช่นนี้

นสพ.โคราชคนอีสาน ฉบับพิเศษ ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๒๗๕๙ วันที่ ๑๕ เดือนพฤศจิกายน - วันที่ ๑๔ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖


57 1,661