May 16,2019
มหัศจรรย์‘น้ำมันกัญชา’ รักษามะเร็งระยะสุดท้าย
อาจารย์โรงเรียนประถมศึกษาในอุบลราชธานี ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย ร่างกายไม่ตอบสนองเคมีบำบัด หลังเยียวยารักษามานานร่วม ๑๑ ปี ไม่สิ้นหวัง พึ่งหนทางสุดท้าย รักษาด้วย ‘น้ำมันกัญชา’ เดือนเดียวอาการดีขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์
นางละม้าย ชาวชายโขง อายุ ๖๕ ปี ข้าราชการครูบำนาญ พักอาศัยอยู่ในบ้านไผ่ใหญ่ ต.ไผ่ใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ป่วยเป็นโรคมะเร็งนานกว่า ๑๑ ปี กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครอบครัวหมดหนทางรักษา เพราะแพทย์ระบุว่าร่างกายผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว นายวิเชียร ชาวชายโขง ผู้เป็นสามีจึงนำมารักษาด้วยน้ำมันกัญชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในปัจจุบันจากสภาพที่ใกล้ตาย กลับมีอาการดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์
นางละม้าย เล่าว่า ตนเริ่มมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปี ๒๕๕๒ ได้เดินทางเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งขณะนั้น แพทย์สงสัยว่าป่วยเป็นไทรอยด์ หรือทอนซิล เพราะมีอาการเหนื่อยและรู้สึกผิดปกติบริเวณลำคอ แต่เมื่อแพทย์นำชิ้นเนื้อไปตรวจก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ก็ยังมีอาการอยู่ ลูกจึงพาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง เมื่อปี ๒๕๕๓ กระทั่งทราบว่า นางละม้ายป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอด้านซ้าย แพทย์จึงส่งตัวให้แพทย์เฉพาะทางช่วยรักษา โดยทำการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อร้ายออก พร้อมทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดควบคู่กัน
นางละม้าย ซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนประถมในอำเภอม่วงสามสิบ ได้เออรี่ออกจากราชการมารักษาตัว เพราะต้องไปพบแพทย์ตามที่นัดทุกครั้ง ปรากฏปี ๒๕๕๗ ก็กลับมีอาการป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีก และการป่วยเริ่มลามไปยังบริเวณไหล่ แพทย์วินิจฉัยป่วยจากเชื้อมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง จึงต้องรับเคมีบำบัดและเข้ารับการตรวจรักษาต่อเนื่องจนถึงปี ๒๕๕๙
ต่อมาในปี ๒๕๖๑ พบว่าอาการป่วยของนางละม้ายได้ลุกลามเพิ่มขึ้นจากการป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ ๒ และ ๓ กลายเป็นป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายในขั้น ๔ เพราะเชื้อได้ลามเข้าไปในทรวงอกและบริเวณหน้าท้อง ต้องเข้ารับเคมีบำบัดเป็นระยะตามแพทย์สั่ง กระทั่งต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๒ แพทย์ที่ให้การรักษาระบุว่า ร่างกายของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการทำคีโมแล้ว พร้อมส่งตัวให้ไปทำการรักษาด้วยการฉายแสง แต่ปรากฏระหว่างนั้น สภาพร่างกายเริ่มทรุดอย่างหนัก และมีเกร็ดเลือดต่ำ แพทย์จึงนัดให้มาทำการฉายแสงในเดือนมิถุนายนที่จะถึง นางละม้าย จึงบอกกับนายวิเชียร ผู้เป็นสามีให้นำตนกลับมาตายที่บ้าน เพราะมีอาการหนัก มีไข้สูง กินน้ำและอาหารไม่ได้
ด้านนายวิเชียร ตัดสินใจโทรศัพท์สอบถามคนรู้จักที่เคยแนะนำให้ลองนำน้ำกัญชาสกัดใช้รักษามะเร็ง เพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยภรรยาของตนเอาไว้ได้ เมื่อได้รับน้ำกัญชาสกัดมาจากเพื่อน และกำลังนำภรรยาขึ้นรถกลับบ้านเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างทางได้หยอดน้ำมันกัญชาให้ภรรยาอมไว้ใต้ลิ้น เมื่อกลับมาถึงบ้านปรากฏว่าอาการไข้ของนางละม้าย ที่มีไข้สูง ๓๕ องศาเซลเซียสติดต่อกันมา ๘-๙ วัน ได้หายไป รวมทั้งนางละม้ายมีสีหน้าดีขึ้น ไม่มีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนช่วงที่ยังอยู่กรุงเทพฯ
นายวิเชียร เล่าต่อว่า ตั้งแต่นั้นมา ได้ให้น้ำมันกัญชาให้นางละม้ายอมไว้ใต้ลิ้น รวมทั้งนำน้ำมันมาทาบริเวณแผลติดต่อกันราว ๒ สัปดาห์ อาการปวดบวมจากแผลของมะเร็งที่แตกและลุกลามจากลำคอฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง และยังลามไปบริเวณทรวงอก ก็ลดลงอย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งขณะนั้นใช้นำมันกัญชาไปได้ราว ๑๕ ซีซี จึงขอน้ำมันกัญชาจากเพื่อนมาใช้รักษาเพิ่ม จนถึงวันนี้ ใช้น้ำมันกัญชาในการรักษานางละม้ายไปแล้วเกือบ ๓๐ ซีซี จากที่มีอาการทรุดตั้งแต่เมื่อกลางเดือนเมษายน และเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมทุกคนต่างบอกว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน สามารถลุกขึ้นมากินข้าวกินน้ำได้ตามปกติ แผลที่เคยปวดบวมบริเวณลำคอและลามไปถึงหน้าอก ก็ยุบหายไปทั้งหมด โดยวันนี้ นางละม้ายสามารถเดินออกไปเก็บเห็ดจากป่าในหมู่บ้าน เพื่อนำมาทำกินได้แล้ว
“น้ำมันกัญชาที่เหลือ ก็ยังจะนำมาใช้รักษาอาการต่อไป จนกว่าจะครบ ๙๐ วัน ตามที่ได้รับ คำแนะนำคือ ให้ใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคนี้ราว ๖๐ ซีซีใน ๙๐ วัน เมื่อถึงเดือนมิถุนายน ก็จะเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่นัดดูอาการ เพื่อให้ตรวจดูเกร็ดเลือด แต่คงไม่ฉายแสงตามที่เคยได้รับคำแนะนำแล้ว เพราะเชื่อว่า การใช้น้ำมันกัญชาก็สามารถรักษาให้หายป่วยจากโรคนี้ได้” นายวิเชียร กล่าว
ด้านนางละม้าย กล่าวว่า ตลอดช่วง ๑๑ ปีที่ผ่านมา ครอบครัวต้องใช้เงินรักษาอาการป่วยของตนไปจำนวนหลายล้านบาท ขณะที่ป่วยหนักในระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องตาย คิดเพียงอยากมีโอกาสหายและกลับมาบวชชีอีกสักครั้งเท่านั้น แต่เมื่อวันนี้ ยังมีชีวิตอยู่ จึงอยากให้รัฐบาลให้โอกาสคนป่วยได้ใช้น้ำมันกัญชาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะตนใช้อย่างได้ผลมาแล้ว
ขณะที่นายวิเชียร ที่เป็นสามีระบุว่า “ตอนแรกไม่เคยคิดเอาน้ำมันกัญชามารักษาภรรยา เพราะเห็นว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดและใช้เคมีบำบัด ก็ช่วยรักษาอาการป่วยได้ แต่ก็ปรากฏเหมือนตัดต้นไม้แต่ยังเหลือราก ตัดออกแล้วแต่ก็กลับมาป่วยได้อีก ตลอดช่วงที่ผ่านมาตน ต้องลาออกจากงานบริษัทเอกชน เพื่อมาดูแลภรรยาที่ป่วยกว่า ๑๐ ปี แต่การรักษาก็ไม่ได้หายอย่างเด็ดขาด”
นายวิเชียร กล่าวต่ออีกว่า ตนอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้โอกาสคนป่วยมีทางเลือกในการรักษา อย่าให้คนป่วยต้องตกอยู่ในสภาพไม่มีทางเลือก โดยต้องใช้ยาเคมีที่อาจเป็นธุรกิจของคนบางกลุ่ม แต่คนรับกรรมคือคนที่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนก็ได้ไปขอขึ้นทะเบียนมีกัญชาไว้ในครอบครอง เพื่อรักษาอาการป่วยแล้ว
ด้าน น.ส.ชลิตตรา สิงห์อ่อน เพื่อนบ้านของนางละม้าย เล่าว่า ทราบอาการป่วยของอาจารย์มานานหลายปี ตอนที่ยังไม่ป่วยหนัก ก็ยังพูดจาได้ กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อนายวิเชียรนำอาจารย์ละม้ายกลับมาที่บ้านใหม่ๆ ได้เข้าไปเยี่ยมดูอาการ ช่วงนั้นนางละม้ายยังพูดไม่ได้ เพราะมีอาการเจ็บบริเวณลำคอ ซึ่งตนก็คิดว่านางละม้ายมีอาการหนักกว่าทุกครั้งที่เห็น แต่เวลาผ่านไปประมาณ ๒ สัปดาห์ก็เห็นนางละม้ายมีอาการดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จากกินข้าวกินน้ำไม่ได้ ก็กินได้และต่อมาก็ออกเดินเหินนอกบ้านและพูดคุยได้ ตนสอบถามนายวิเชียรก็บอกว่า ใช้น้ำมันกัญชารักษาอาการป่วย ตนเองก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ คาดว่าอาจารย์ละม้ายก็คงมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานแน่นอน
ปีที่ ๔๔ ฉบับที่ ๒๕๗๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ - วันจันทร์ที่ ๒๐ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
900 1,628